Table of Contents

สงสัยกันบ้างไหมว่า เวลหมาเล่นวิ่งไล่กัน หรือฟัดกันมันส์ ๆ กติกาของการเล่นพวกนี้คืออะไร ? มันรู้ได้ยังไงว่าต้องเล่นแบบนี้ ? เรื่องนี้ผมสงสัยมากเป็นการส่วนตัวครับ วันนี้มีโอกาสเลยเอาที่ค้นคว้าได้มาแชร์ครับ

“การเล่น” ในนิยามของหมาคืออะไร?

ในทางพฤติกรรมศาสตร์ การเล่นของหมาคือชุดของพฤติกรรมที่ สมัครใจทำ และมักจะ เลียนแบบพฤติกรรมที่ใช้จริง ในชีวิต เช่น การล่าเหยื่อ การต่อสู้ หรือการหนีเอาตัวรอด และทำเพื่อให้ได้ทำโดยไม่หวังผลลัพท์เหมือนในสถานการณ์จริง (เช่น ไม่ได้ล่าเพื่อกิน หรือสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ) และระหว่างกิจกรรมหมามีการใช้ “สัญญาณสื่อสาร” เพื่อบอกคู่เล่นว่า “นี่คือการเล่นนะ!” เสมอ

สัญญาณที่ชัดเจนและเป็นสากลที่สุดคือ “ท่าโค้งคำนับชวนเล่น” (Play Bow) ซึ่งสุนัขจะย่อขาหน้าลงต่ำ ก้นโด่งสูง หางกระดิก และสายตาจับจ้องไปที่เพื่อน เป็นการส่งข้อความว่า “สิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนี้ ไม่ว่าจะดูรุนแรงแค่ไหน ทั้งหมดเป็นแค่การเล่นเท่านั้น!”

3 เกมที่หมาเล่นกันบ่อย ๆ

นักวิจัยด้านพฤติกรรมสัตว์ (Ethologists) ใช้วิธีการ สังเกตการณ์และบันทึกวิดีโอ การเล่นของสุนัขในสภาพแวดล้อมต่างๆ จากนั้นนำฟุตเทจมาวิเคราะห์แบบเฟรมต่อเฟรม เพื่อถอดรหัสลำดับของพฤติกรรม (Sequencing) และสัญญาณการสื่อสาร (Signaling) รวมทั้งหมดใช้เวลาหลายร้อยชั่วโมง จนพอจะสามารถระบุ “เกม” และ “กติกา” ที่หมาเล่นด้วยกันซ้ำๆ จนเป็นแบบแผนได้ออกมาได้ครับ โดยทั้งองค์ประกอบของเกมและกติกาต่อไปนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะสอนหมา แต่หมาเรียนรู้ได้เองผ่านการเล่นด้วยกันและสัญชาตญาณโดย “เกม” ที่หมามักจะเล่นกันออกเป็นประเภทใหญ่ๆ 3 ประเภทโดยแต่ละเกมตามนี้ครับ

เกมที่ 1: มวยปล้ำ

นี่คือรูปแบบการเล่นที่มีความซับซ้อนและต้องใช้แรงมากที่สุด มีลักษณะเด่นคือการปะทะที่ใกล้ชิดและรุนแรง ซึ่งจำลองพฤติกรรมการต่อสู้จริงหลายรูปแบบ ระหว่างเล่นเกมนี้หมามักสื่อสารกันอย่างต่อเนื่องและชัดเจนเพื่อให้เกมไม่บานปลายไปสู่ความขัดแย้ง

องค์ประกอบของเกม:

  • การกัดและงับเบาๆ (Inhibited Biting and Mouthing): นี่คือหัวใจสำคัญของการเล่นมวยปล้ำ หมาจะกัด งับ หรือขบเบาๆ บริเวณต้นคอ คอ ขา และปากของกันและกัน สิ่งสำคัญคือ การยับยั้งแรงกัด ซึ่งเป็นทักษะที่หมามักจะสอนกันเอง โดยสุนัขจะควบคุมแรงกดของกรามเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เจ็บหรือเกิดบาดแผล การกระทำนี้เป็นการดัดแปลงการกัดจริงให้อยู่ในรูปแบบที่ “นุ่มนวล”
  • การประลองกราม (Jaw Sparring): เป็นรูปแบบเฉพาะของการงับปากเล่นที่สุนัขสองตัวจะใช้ปากที่อ้ากว้างฟันกันไปมา ฟันของพวกมันอาจกระทบกันจนเกิดเสียง “คลิก” แต่โดยทั่วไปแล้วพวกมันจะเอียงหัวไปด้านหลังและด้านข้างเพื่อป้องกันการปะทะที่รุนแรง นับเป็นปฏิสัมพันธ์ที่มีรูปแบบเฉพาะและมีการควบคุมตัวเองสูง
  • การกดและการยืนคร่อม (Pinning and Standing Over): หมาฝ่ายรุกอาจใช้น้ำหนักตัวหรืออุ้งเท้ากดคู่เล่นลงกับพื้นและจับไว้ หรือเพียงแค่ยืนคร่อม ในบริบทของการเล่น นี่ไม่ใช่การวางตัวเป็นจ่าฝูง สัญญาณสำคัญของการเล่นคือหมาฝ่ายรับที่อยู่ด้านล่างยังผ่อนคลายและเต็มใจที่จะอยู่ในท่านั้น และไม่นานหมาฝ่ายรุกจะปล่อยอีกฝ่ายรุก
  • การใช้ลำตัวกระแทกหรือใช้ก้นฟาด (Body Slamming and Hip Checks): มักพบในสุนัขสายพันธุ์ที่ลำตัวกำยำ เป็นการที่หมาใช้ไหล่หรือก้นฟาด ดัน หรือกระแทกอีกฝ่าย ซึ่งบางครั้งก็ทำด้วยความเร็ว เป็นหนึ่งในท่าที่ไว้ชวนเริ่มเล่นบ่อย ๆ
  • การยืนสองขา”ชกมวย” (Rearing Up and “Boxing”): หมายืนขึ้นบนขาหลังและใช้ขาหน้าตบกันไปมา ท่าเหมืนอคนกำลัง “ชกมวย” นี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมการต่อสู้ที่ถูกดัดแปลงมาใช้ในบริบทของการเล่น

กติกาการเล่น:

  • การออมแรง (Self-Handicapping): นี่คือกฎที่สำคัญที่สุดในการรักษาความสนุก หมาที่ตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า หรือมีทักษะมากกว่าจะยับยั้งการกระทำของตนเองโดยสมัครใจ ซึ่งอาจรวมถึงการยับยั้งแรงกัด การจงใจพุ่งชนพลาดเป้า หรือการอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เช่น การกลิ้งตัวนอนหงายและเปิดเผยส่วนท้องที่เปราะบางของตนเอง สิ่งนี้ส่งสัญญาณถึงเจตนาที่ดีและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำให้การเล่นยังคงสนุกสนานสำหรับคู่เล่นที่ตัวเล็กกว่าหรือมีความมั่นใจน้อยกว่า เรามักพบเห็นการออมแรงแบบนี้เวลาหมาใหญ่เล่นกับหมาเล็ก หรือหมาแก่เล่นกับเด็ก
  • การสลับบทบาท (Role Reversal): การเล่นมวยปล้ำที่ดีต้องมีการตอบสนองซึ่งกันและกัน คู่เล่นต้องสลับบทบาทระหว่างฝ่ายรุกกับฝ่ายรับบ่อย ๆ หมาที่เล่นไม่เป็นจะกดอีกตัวอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เคยสลับไปอยู่ข้างล่างบ้าง การเล่นจะเริ่มไม่สนุกและอาจเปลี่ยนเป็นการทะเลาะกันได้
  • การสื่อสารที่ต่อเนื่อง: ปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดถูกกำหนดกรอบด้วยสัญญาณการเล่น ท่าโค้งคำนับชวนเล่น (Play Bow) ที่มักใช้เพื่อเริ่มการต่อสู้ เริ่มใหม่หลังจากหยุดพัก หรือเพื่อ “ขอโทษ” สำหรับการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเกินไปโดยไม่ได้ตั้งใจ การอ้าปากแบบผ่อนคลาย (“play face”) คืออ้าปากแบบลิ้นโผล่เลยฟันออกมา เป็นสัญญาณที่แพร่หลายของอารมณ์เชิงบวกซึ่งช่วยรักษาสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร
  • การหยุดพักบ่อย ๆ: การเล่นมวยปล้ำที่ดีจะไม่บ้าคลั่ง แต่จะมีการหยุดพักสั้นๆ บ่อยครั้ง ช่วงเวลาเหล่านี้ช่วยให้สุนัขได้ “เช็คสภาพ” กันและกัน ประเมินความเต็มใจที่จะเล่นต่อของอีกฝ่าย ได้พักหายใจ และจัดการระดับความตื่นตัวก่อนที่จะเริ่มเล่นกันอีกครั้ง

แนวโน้มตามสายพันธุ์:

แม้แทบทุกสายพันธ์ชอบการเล่นมวยปล้ำ แต่สไตล์นี้เป็นที่ชื่นชอบเป็นพิเศษสำหรับ สายพันธุ์เทอร์เรีย และสุนัขพันธุ์กำยำอื่นๆ เช่น บ็อกเซอร์ และบูลด็อก และสายพันธ์อื่น ๆ ที่ถูกคัดเลือกสำหรับงานที่ต้องเผชิญหน้า เช่น การล่าสัตว์ มักจะแปลไปเป็นความชอบการเล่นที่เข้มข้น และปะทะสูง

เกมที่ 2: การวิ่งไล่

การวิ่งไล่เป็นเกมที่มีความขึ้น ๆ ลง ๆ สูง ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการเลียนแบบการล่า และถูกล่า บทบาทของฝ่ายรุกและรับนั้นชัดเจน แต่ในบริบทของการเล่นการเล่นแบบนี้หมาต้องร่วมมือกันได้ดี

องค์ประกอบทางพฤติกรรม:

  • การย่อง (Stalking): บางครั้งเกมจะเริ่มต้นด้วยการย่อง ฝ่ายรุกจะทำท่าหมอบต่ำ เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ พร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังคู่เล่นอย่างเข้มข้น ถ้ามีก็จะใช้ที่กำบังด้วย ก่อนจะจู่โจมแบบโอเวอร์ ๆ ให้อีกฝ่ายรู้ตัวและหนีไป เป็นการนำพฤติกรรมมาจากการล่าโดยตรง
  • การไล่และหนี (Chase and Flee): เมื่ออีกฝ่ายหนีการไล่ล่าด้วยความเร็วสูงก็เกิดขึ้นตามมา สัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าเป็นการ เล่น คือท่าวิ่งจะดูไม่มีประสิทธิภาพและดูเวอร์เกินจริง โดดเด่นด้วยท่าวิ่งที่หลวมๆ เด้งๆ และมีช่วงกว้าง สุนัขอาจกระโดดโลดเต้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเป้าหมายคือการเล่น
  • การตะครุบและการกระโจน (Pouncing and Leaping): การกระโดดที่ดูเกินจริง ซึ่งบางครั้งขาทั้งสี่ข้างลอยจะจากพื้น มักใช้เพื่อเริ่มการไล่ล่าหรือแทรกอยู่ตลอดทั้งการเล่น มีลักษณะที่ไม่จริงจัง เหมือนเล่นละครเวที

กติกาการเล่น:

  • การสลับบทบาท: กฎพื้นฐานคือการตอบสนองซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกมยังคงเป็นการเล่น บทบาทของฝ่ายรุกและฝ่ายรับจะต้องสลับกันได้ ผู้ไล่กลายเป็นผู้ถูกไล่ และสลับกันไปมา ถ้าไม่สลับอีกฝ่ายจะเบื่อและไม่เล่นด้วย หมาที่ดึงดันจะเล่นเป็นฝ่ายไล่ตลอดมักจะพาให้เหตุการณ์บานปลายเป็นการทะเลาะ
  • จุดประสงค์คือจับไม่ได้: ในการเล่นไล่จับหมาจะรู้กันว่าจุดประสงค์คือเล่นกันให้นานที่สุด ดังนั้นหมาที่เร็วกว่าจะออมแรงเพื่อให้การไล่ล่ายืดออกไป และไม่ถึงตัวได้ง่าย ๆ การเล่นไล่ล่านี้การออมแรงจะเป็นงานของทั้งฝ่ายรุก และฝ่ายรับ
  • “เหยื่อ” คือคนคุมเกม: ในการล่าจริง นักล่าเป็นผู้ควบคุม แต่ในการเล่นไล่ล่า “เหยื่อ” มักจะเป็นคนคุมเกม เหยื่อจะเริ่มการไล่ล่าด้วยการวิ่งหนีและหันกลับมามองข้ามไหล่ด้วยท่าเหมือน “ไล่ฉันสิ” ซึ่งมักจะมาพร้อมกับท่าโค้งคำนับชวนเล่น พวกเขาควบคุมความเร็วและระยะเวลาของการไล่ล่า ให้ไม่เร็วและห่างเกินไป หมาที่วิ่งเร็วกว่าถ้าเป็นฝ่ายถูกล่าจะออมแรงให้
  • ยอมให้จับและหนี: ฝ่ายล่าเองก็มักจะออมแรงโดยการปรับความเร็วของตนเองเพื่อให้สุนัขที่กำลังหนีสามารถหนีต่อไปได้ หากมีการจับกุมเกิดขึ้น มักจะเป็นเพียงการแตะเบาๆ หรือการงับปากเล่น ตามด้วยการหยุดพักและมักจะมีการสลับบทบาท เป้าหมายไม่ใช่การจับและปราบคู่เล่นจริงๆ

แนวโน้มตามสายพันธุ์:

เกมนี้หมาส่วนใหญ่ชอบเล่น แต่สำหรับ หมาสายพันธ์ต้อน (เช่น บอร์เดอร์คอลลี่ คอร์กี้) มักจะชอบเปิดเกมส์ด้วยการย่อง (Stalking) และ สุนัขไซท์ฮาวด์ (เช่น เกรย์ฮาวด์ หรือบอร์ซอย) ที่มักถูกเพาะพันธุ์มาเพื่อการล่าความเร็วสูง มักจะชอบเกมนี้มากเป็นพิเศษและอาจจะไม่สนใจเกมอื่นเลย

เกมที่ 3: การเล่นกับสิ่งของ (Object-Oriented Play – ชักเย่อและคาบของ)

การเล่นประเภทนี้มีลักษณะเด่นคือการใช้อุปกรณ์ เช่น ลูกบอล เชือก หรือวัตถุอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง สามารถแบ่งออกเป็นสองเกมย่อยที่มีแรงจูงใจแตกต่างกัน คือเกมแข่งขันอย่างการเล่นชักเย่อ และเกมที่เน้นความร่วมมือเช่นการคาบของ อีกลักษณะเด่นของเกมนี้คือมนุษย์สามารถเล่นกับหมาได้ง่ายกว่าเกมอื่น

องค์ประกอบทางพฤติกรรม:

  • การเล่นชักเย่อ (Tug-of-War): เป็นเกมแข่งขันที่หมาสองตัวจะงับวัตถุชิ้นเดียวกันแล้วดึงกันไปมา มักจะมีเสียงคำรามในลำคอทุ้มๆ และการสะบัดหัวจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งอย่างแรง (“ragging”) พฤติกรรมเหล่านี้มาจากขั้นตอนสุดท้ายของการล่าคือการ กัดเพื่อฆ่า และ การฉีกทึ้ง ที่ใช้ในการปราบและกินเหยื่อ
  • การคาบของ (Fetch/Retrieve): เป็นเกมที่เน้นความร่วมมือมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเล่นกับมนุษย์ เป็นการไล่ตามวัตถุที่ถูกโยนไป งับมัน และนำกลับมา เกมนี้สอดคล้องกับองค์ประกอบของ การไล่ล่า และ การงับแบบยับยั้ง ในการล่าอย่างชัดเจน เวลาที่หมาเล่นกันเอง เกมนี้มักจะกลายเป็นการเล่น “วิ่งไล่แย่งของ” ซึ่งสุนัขที่มีของเล่นจะเป็นฝ่ายเปิดเกม

กติกาการเล่น:

  • การเล่นชักเย่อ: แม้จะเป็นการแข่งขัน แต่การเล่นชักเย่อที่ดีก็ยังมีกติกาเพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นความขัดแย้งและการหวงของอย่างจริงจัง หมาที่แข็งแรงกว่าจะออมแรงโดยการคลายแรงงับหรือจงใจ “แพ้” เพื่อยืดเวลาการเล่นออกไป เสียงคำรามเป็นส่วนหนึ่งของความตื่นเต้นในเกมและมักจะมีระดับเสียงและจังหวะที่แตกต่างจากเสียงคำรามที่ก้าวร้าวจริงๆ งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการชนะหรือแพ้ในการเล่นชักเย่อกับมนุษย์ไม่ได้ทำให้สุนัข “มีอำนาจเหนือกว่า” แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสนุก
  • การคาบของ: เมื่อเล่นกับมนุษย์ เกมนี้มีพื้นฐานมาจากความร่วมมือ ความเต็มใจของหมาที่จะปล่อยวัตถุ (“ปล่อย”) เป็นส่วนสำคัญ เพราะการปล่อยทำให้เกมนี้ดำเนินต่อได้

    แต่บางครั้งเมื่อหมาเอาของกลับมาแล้ว แต่แทนที่จะปล่อยกลับเป็นการวิ่งหนีออกไป การทำแบบคือ การที่หมาตัดสินใจจะเปลี่ยนเกมจากการคาบของ ไปสู่การแย่งของซึ่งเป็นเกมที่พบได้ระหว่างหมากับหมาเช่นกันแทน โดยลักษณะจะคล้ายกับการไล่ล่า แต่จุดจบของรอบคือการได้ชิงของเล่นไปแทน

แนวโน้มตามสายพันธุ์:

  • การเล่นชักเย่อ มักเป็นที่ชื่นชอบของ สายพันธุ์เทอร์เรีย เนื่องจากมีการสะบัดและดึงเป็นการตอบสนองต่อแรงขับโดยกำเนิด ในการฆ่าสัตว์ที่ล่าได้ด้วยการสะบัดและดึง
  • การคาบของกลับมา เป็นเกมที่เป็น Signature ของ สายพันธุ์สุนัขกีฬาและสุนัขล่าเหยื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธ์รีทรีฟเวอร์ ที่ถูกคัดเลือกพันธุ์มาหลายชั่วอายุคนเพื่อค้นหา งับ และนำวัตถุกลับมาด้วย “การกัดที่นุ่มนวล” ที่เบาจนไม่ทิ้งรอยไว้ที่เหยื่อ

สัญญาณอันตราย: เมื่อการเล่น “ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”

สิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของคือการแยกแยะระหว่างการเล่นกับการทะเลาะ โดยสัญญาณเตือนที่ต้องจับตาดู และหากพบเห็นสัญญาณเหล่านี้ ควรยุติการเล่นทันที:

  • ภาษากายที่เปลี่ยนไป: ร่างกายจะ แข็งทื่อ จากที่เคยดูผ่อนคลาย, ขนหลังตั้งชัน
  • ไม่มีการสลับบทบาท: เมื่อเราไม่เห็นมีการสลับฝ่ายมาสักพักแล้ว และหมาตัวเดิมไล่ต้อนหรือกดอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ควรแยกก่อนจะเริ่มทะเลาะ โดยเฉพาะเมื่อสังเกตเห็นสัญญาณความเครียดจากฝ่ายรับ
  • เสียงขู่ที่เปลี่ยนไป: จากเสียงขู่ในลำคอโทนสูงๆ กลายเป็น เสียงคำรามต่ำและจริงจัง
  • การแยกเขี้ยว: ริมฝีปากถูกรั้งขึ้นจนเห็นเหงือกและเขี้ยวอย่างชัดเจน
  • การงับที่รุนแรงขึ้น: การงับไม่เบาเหมือนเดิม หรือเริ่มได้ยินเสียงร้อยบ่อยขึ้น
  • ไม่มีสัญญาณชวนเล่น: ไม่มีการทำท่า Play Bow หรือการหยุดพักให้เห็นมาสักพักแล้ว

การเล่นของหมานั้นมีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การล่าสัตว์ และการต่อสู้ แต่แสดงออกมาในรูปแบบที่ไม่จริงจังเพื่อเล่นระหว่างกันเอง ความน่าทึ่งคือเกมเหล่านี้มีความเป็นสากลในหมา คือหมาส่วนใหญ่สามารถเล่นแบบนี้ได้เอง ทั้งจากสัญชาตญาณ และการเรียนรู้ระหว่างหมากับหมาสอนกันเอง โดยที่ส่วนใหญ่มนุษย์ไม่ได้มีส่วนในการสอนกติกาเหล่านี้

หมาแต่ละตัวจะมีความชอบในแต่ละเกมไม่เท่ากัน การสังเกตได้ว่าเขาชอบเล่นแบบไหนจะช่วยให้เราเล่นกับเขาได้ตรงจุดขึ้น และอาจจะหาเพื่อนเล่นที่ชอบสไตล์เดียวกันกับเขาได้ง่ายขึ้นด้วย