Table of Contents

กับดักทางภาษาของคำว่า “เชิงบวก” (Positive) คือสำหรับคนทั่วไปคำนี้สื่อถึงความใจดี การให้ขนม หรือการตามใจ แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์พฤติกรรม(Behaviorism) มันหมายถึง “การเพิ่ม” สิ่งกระตุ้นเข้าไป (เช่น การให้รางวัล หรือเพิ่มความเจ็บปวด) ความสับสนนี้ทำให้เจ้าของหลายคนสับสนในแนวทางการฝึกหมาว่าเป็นยังไงกันแน่ วันนี้มาดูกันครับว่าคำว่าเชิงบวกจริง ๆ มันควรเป็นยังไง

การฝึกหมาเพื่อแก้ปัญหา

ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ทั้งวงการจิตวิทยามนุษย์และการฝึกหมาตกอยู่ในกรอบคิดแบบ “โมเดลรักษาโรค” คือการมองว่าหมาคือสิ่งที่ต้องถูก “ซ่อม” โดยเป้าหมายของการฝึกคือการกำจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์: ทำยังไงให้หยุดกัด? หยุดเห่า? หยุดฉี่ผิดที่?

จุดบอดที่สำคัญที่สุดของแนวคิดนี้คือการที่เราสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตหนึ่ง “หยุด” พฤติกรรมแย่ๆ ได้ (เช่น หยุดร้องไห้ หรือ หยุดกัด) ไม่ได้หมายความว่าเราได้สร้าง “ชีวิตที่ดี” ให้กับเขา เราเพียงแค่พาเขาจากจุด “ติดลบ” มาอยู่ที่จุด “ศูนย์” เท่านั้น

ในโลกของหมา “หมาที่อยู่ตรงจุดศูนย์” อาจเป็นสุนัขที่ “นิ่ง” เชื่อฟังคำสั่ง ไม่สร้างความเดือดร้อน แต่เป็นหมาที่แววตาไร้ซึ่งประกาย ขาดความกระตือรือร้น และอาจเผชิญกับความเหี่ยวเฉาทางจิตใจ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ใช่รูปแบบชีวิตที่ใครอยากใช้ร่วมกับหมา

ชีวิตที่ดีไม่ใช่แค่การ “ไม่ดื้อ”

Corey Keyes นักสังคมวิทยาและจิตวิทยา ได้นำเสนอโมเดลที่เปลี่ยนโลกทัศน์เรื่องสุขภาพจิตไปเลยนั่นคือ The Two Continua Model ซึ่งบอกว่า “สุขภาพจิตที่ดี” (Mental Health) และ “ความเจ็บป่วยทางจิต” (Mental Illness) ไม่ใช่เรื่องเดียวกันบนเส้นตรงเส้นเดียว แต่เป็นสองแกนที่แยกจากกัน โดยในมุมของหมาคือ

  • แกนที่ 1: ปัญหาพฤติกรรม: สุนัขมีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือไม่? มีความวิตกกังวลหรือไม่? (การฝึกแบบเดิมมุ่งเน้นแต่แกนนี้)
  • แกนที่ 2: ชีวิตที่เติมเต็ม: หมามีความมั่นใจหรือไม่? มีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ หรือไม่? มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าของหรือไม่?

สุนัขที่ถูกฝึกด้วยการลงโทษเพื่อกดทับพฤติกรรม อาจจะมีปัญหาพฤติกรรมน้อย (คือดูเหมือนไม่มีปัญหา) แต่ในขณะเดียวกันชีวิตก็ไม่ได้รับการเติมเต็ม (คือไม่มีความสุข) นี่คือหมาที่แค่ “มีชีวิต” (Surviving) แต่ไม่ได้ “ใช้ชีวิต” (Thriving)  

ดังนั้นในมุมมองของ Dogology การฝึกหมาที่ทำให้คนกับหมาใช้ชีวิตดี ๆ ด้วยกันได้ต้องมุ่งเน้นมากกว่าแค่การแก้ปัญหาพฤติกรรม แต่พัฒนาแกนที่ 2 อย่างจริงจัง เพื่อให้หมาได้ใช้ชีวิตได้ดีด้วย

องค์ประกอบของเลี้ยงหมาให้เติบโตอย่างมีความสุข

ความเข้าใจผิดที่ร้ายแรงที่สุดคือการคิดว่าการฝึกเชิงบวกคือการปรนเปรอสุนัขให้มีความสุขแบบฉาบฉวย หรือ Hedonic Well-being (กินอิ่ม นอนหลับ สบายตัว) แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือ Eudaimonic Well-being ซึ่งหมายถึงความสุขที่เกิดจากการได้ทำหน้าที่ตามธรรมชาติ การได้พัฒนาตัวเอง และการมีความสัมพันธ์ที่ดี

1. ไปให้ไกลกว่าแค่การ “ห้าม”

ในทางประสาทวิทยา การสั่งให้หมา “หยุด” หรือ “ห้าม” (Inhibition) เป็นกระบวนการที่สิ้นเปลืองพลังงานสมองมาก ๆ และล้มเหลวง่ายภายใต้ความเครียด สิ่งนี้อธิบายได้ด้วยทฤษฎี Ironic Process Theory หรือปรากฏการณ์ “หมีสีขาว” (White Bear Effect) ของ Daniel Wegner

เมื่อเราพยายามสั่งสมองว่า “อย่าคิดถึงหมีสีขาว” สมองกลับต้องแบ่งการทำงานเป็นสองส่วน: ส่วนหนึ่งพยายามไม่คิด แต่อีกส่วนหนึ่ง (Monitoring Process) ต้องคอยสแกนดูว่า “เราเผลอคิดถึงหมีสีขาวหรือยัง?” ผลลัพธ์คือสมองกลับจดจ่ออยู่กับหมีสีขาวมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับหมา เมื่อเราสั่งว่า “อย่ากระโดด” หมาต้องใช้พลังงานมหาศาลในการกดทับสัญชาตญาณ ยิ่งหมาตื่นเต้น (High Arousal) ระบบเบรกนี้จะยิ่งพังทลายง่ายขึ้น การฝึกเชิงพัฒนาจึงไม่เน้นการ “ห้าม” แต่เน้นการ “สร้างพฤติกรรมทดแทน” (Alternative Behavior)

  • แทนที่จะสั่งว่า “ห้ามกระโดด” (ซึ่งเป็นการสร้างสุญญากาศทางพฤติกรรม)
  • เราสอนว่า “ให้นั่ง” (ซึ่งเป็นการสร้างเส้นใยประสาทใหม่)

การ “สั่งให้ทำ” นั้นง่ายต่อการประมวลผลทางสมองมากกว่าการ “สั่งไม่ให้ทำ” (No-Go System) และเมื่อทำซ้ำๆ เส้นใยประสาทของการ “นั่งเมื่อเจอคน” จะแข็งแรงขึ้นจนกลายเป็นนิสัยอัตโนมัติ โดยที่สุนัขไม่ต้องต่อสู้กับตัวเอง

2. ให้หมาได้เป็นมากกว่าหุ่นยนต์

ทฤษฎี (Self-Determination Theory) ระบุไว้ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการ 3 สิ่งเพื่อที่จะมีสุขภาพจิตที่ดี

  1. Autonomy (ความเป็นอิสระ/การมีทางเลือก): หมาที่เลือกทำตามคำสั่งเพราะ “อยากทำ” (มีแรงจูงใจภายใน) จะมีความเครียดต่ำกว่าหมาที่ทำเพราะ “กลัวโดนลงโทษ” อย่างมหาศาล การฝึกที่เปิดโอกาสให้สุนัขมีความสามารถในการควบคุมผลลัพธ์ในชีวิตตนเอง คือวัคซีนป้องกันความเครียดที่ดีที่สุด
  2. Competence (ความรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ): การฝึกด้วยการจัดสภาพแวดล้อมให้หมาทำสำเร็จได้ง่าย ช่วยสร้างความมั่นใจ หมาเรียนรู้ว่า “พฤติกรรมของฉันทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี” ซึ่งตรงข้ามกับภาวะสิ้นหวัง (Learned Helplessness) ที่มักเกิดจากการใช้วิธีลงโทษให้หมานิ่ง เช่น การกระตุกสายจูง
  3. Relatedness (ความผูกพัน): ความสัมพันธ์คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตหมา การฝึกที่ดีควรเสริมสร้างความสัมพันธ์ และเป็นโอกาสให้หมากับเจ้าของได้เข้าใจกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพื่อให้สั่งได้

3. สร้างสายสัมพันธ์ที่ดี

ทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ให้บริบทของฐานะ “ผู้ดูแล” ว่าทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความปลอดภัยในชีวิตของหมา หมาคาดหวัง 4 เรื่องใหญ่ ๆ จากเรา

  1. การเป็นที่พึ่งที่ปลอดภัย (Safe Haven): เมื่อหมารู้สึกกลัวหรือตกใจ เขาต้องการจะมองมาหาเราเป็นที่แรกเพื่อขอความคุ้มครองและความสบายใจ 
  2. เป็นฐานที่มั่นเพื่อการสำรวจ (Secure Base): การมีเราอยู่ใกล้ๆ ควรทำให้หมารู้สึกปลอดภัยและมีความมั่นใจที่จะออกไปสำรวจสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หรือพบปะผู้คนแปลกหน้า 
  3. ความใกล้ชิด (Proximity Seeking): ความต้องการของหมาที่จะพยายามรักษาระยะให้อยู่ใกล้ชิดกับเรา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตึงเครียด 
  4. ความกังวลเมื่อต้องแยกจาก (Separation Distress): ช่วยให้หมาไม่ต้องรู้สึกกระวนกระวายและเป็นทุกข์ เมื่อต้องแยกจากกัน 

ถ้าเราสามารถจัดการทั้ง 4 ด้านนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้หมารู้สึกว่าโลกใบนี้ปลอดภัยและคาดเดาได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและมั่นคง

4. ฝึกให้หมาตัดสินใจได้ดีด้วยตนเอง (Mindset Training)

การฝึก “นั่ง ชิด หมอบ คอย” แม้จะทำได้ แม้จะฝึกด้วยรางวัล แต่สิ่งที่ได้คือการที่หมาทำสิ่งที่ดีในเวลาที่เราบอก ไม่ใช่ทำเพราะคิดได้เอง และนั่นคือข้อจำกัดสำคัญของพฤติกรรม เพราะเราไม่ต้องการจะบอกให้หมา “นั่ง” ทุกครั้งที่เขาจะพุ่ง แต่เราต้องการให้เขาคิดได้ว่าเขาไม่ต้องพุ่งตั้งแต่แรก

แทนที่จะไล่แก้ปัญหาปลายเหตุ (เช่น หมาเห่าคน หมากัดโซฟา) การฝึกหมาควรย้อนกลับมาสร้าง ทักษะทางปัญญา (Cognitive Skills) ที่เป็นต้นตอของพฤติกรรมเหล่านั้น เมื่อ Mindset แข็งแรง ปัญหาพฤติกรรมจะหายไปเองโดยอัตโนมัติ เช่น การฝึกหมาให้มองโลกในแง่ดีเพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรมที่เกิดจากความกลัว

ตัวอย่างเช่น การฝึก Mindset การมองโลกในแง่ดีที่เป็นกลไกทางชีววิทยาในการตีความ “ความไม่แน่นอน” (Ambiguity)

  • หมาที่มองโลกในแง่ร้าย (Pessimistic): เมื่อได้ยินเสียงดังปัง! หรือเห็นถุงพลาสติกปลิวมา จะตีความทันทีว่า “ภัยคุกคาม” -> ร่างกายหลั่ง Cortisol -> เกิดพฤติกรรม เห่า กัด หรือหนี
  • หมาที่มี Optimism: จะตีความสิ่งเดียวกันว่า “น่าสนใจ” หรือ “อาจจะมีเรื่องดีๆ” -> ร่างกายหลั่ง Dopamine -> เกิดพฤติกรรม เข้าไปดม หรือมองดูอย่างสงบ

ที่มีมองโลกในแง่รายจะใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา (Chronic Stress) การสร้าง ที่เปลี่ยนสิ่งแปลกใหม่ให้กลายเป็นรางวัล คือการฝึกสมองให้มองโลกเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทำให้เขากล้าเผชิญโลกและมีความสุขในทุกๆ วัน

5. กิจกรรมเติมเต็มชีวิต

ชีวิตที่ดีของหมาไม่ได้ต้องการแค่การโยนของเล่นแก้เบื่อ แต่ในมุมมองของการพัฒนาชีวิต Enrichment คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดเพราะมันเปิดโอกาสให้สุนัขได้ทำสิ่งที่เขา “เกิดมาเพื่อเป็น”

งานวิจัยพบว่าเมื่อให้เลือกระหว่าง “กินอาหารฟรีจากชาม” กับ “ต้องแก้โจทย์เพื่อได้อาหาร” สัตว์ส่วนใหญ่ (รวมถึงสุนัข) เลือกที่จะทำงาน! เพราะการได้แก้ปัญหาทำให้เกิดความรู้สึก Competence (ฉันทำได้!) และหลั่งสารความสุขที่ยั่งยืนกว่า

  • Species-Specific Behaviors (พฤติกรรมตามธรรมชาติ):
    • การดมกลิ่น (Sniffing): ไม่ใช่แค่การรับข้อมูล แต่การดมช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและลดความเครียด (Decompression) การพาเดินแบบ “Sniffari” (ให้ดมตามใจชอบ) คือการบำบัดจิตใจชั้นยอด
    • การกัด/แทะ/เลีย: กิจกรรมเหล่านี้กระตุ้นสมอง และกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ช่วยให้หมาสงบลงเองได้ด้วย
  • Brain Work (งานใช้สมอง): เกมดมหาของ (Scent Work) หรือของเล่นที่ต้องใช้ทักษะ (Puzzle Toys) ช่วยสร้างความยืดหยุ่นทางปัญญา) ชะลอความเสื่อมของสมองในสุนัขแก่ และช่วยระบายพลังงานในสุนัขเด็กได้ดีกว่าการวิ่งไล่บอลที่กระตุ้นความตื่นตัวจนเกินไป

การใช้ชีวิตดี ๆ กับหมา

การเปลี่ยนผ่านจาก “การแก้ปัญหา” สู่ “การสร้างชีวิตที่ดี” ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนเทคนิคการฝึก แต่เป็นการเปลี่ยนกระบวนการมองหมาจากการเป็นเครื่องจักรที่ต้องซ่อมแซม ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพในการเติบโต

นิยามของคำว่า “Positive” ที่แท้จริงนั้นหมายถึง Developmental หรือ “เชิงพัฒนาการ” เราไม่ได้ฝึกสุนัขเพียงเพื่อให้เขาไม่สร้างปัญหาในบ้าน แต่เราฝึกเพื่อติดอาวุธทางปัญญาและอารมณ์ ให้เขาสามารถรับมือกับโลกใบนี้ได้อย่างมั่นคง มีความสุข และมีความหมาย นี่คือหลักการฝึกของ Dogology และวิทยาศาสตร์พฤติกรรมสุนัขยุคใหม่ครับ