Table of Contents

หมาที่เห่า ขู่ กระโจนใส่อย่างบ้าคลั่ง กับหมาตัวอื่น คนแปลกหน้า หรือเสียงแปลก ๆ มักจะถูกมองว่าเป็นหมา “ก้าวร้าว” “ดื้อ” หรือ “ไม่เชื่อฟัง” แต่ภายใต้พฤติกรรมเหล่านั้นสำหรับหมาแล้วเขากำลังประสบสิ่งที่คล้ายกับ Panic Attack ในมนุษย์เรา และกำลังต้องการความช่วยเหลือ

สภาวะแบบนี้ในหมาเรามักจะเรียกกันว่า Over-Threshold และวันนี้เราจะมาดูกันครับว่าเราจะป้องกันและช่วยเหลือหมาในสภาวะแบบนี้ได้ยังไง

Over-Threshold: เมื่อทุกอย่างถาโถมเกินจะรับไหว

หมาและมนุษย์ทุกคนมีขีดจำกัดทางอารมณ์อยู่ เหมือนถังน้ำในสมองที่คอยรับสิ่งต่าง ๆ เข้ามา ในเวลาสงบ ๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอาจจะมีน้ำอยู่เพียงก้นถัง แต่เมื่อต้องเจอกับสิ่งเร้าหรือความเครียดต่างๆ น้ำในถังก็จะค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้น

  • ในสภาวะที่น้ำยังไม่ล้น หมาสามารถรับรู้ถึงสิ่งเร้า (เช่น เห็นสุนัขตัวอื่นอยู่ไกลๆ) แต่ยังสามารถควบคุมตัวเองได้ คิดวิเคราะห์ และสนใจเจ้าของได้อยู่ ในภาวะนี้หมามีสติดี และพร้อม “เปิดรับการเรียนรู้”
  • เมื่ออะไร ๆ เริ่มถาโถมเข้าหมาถึงจุดที่น้ำปริ่มขอบถังพอดี หมาจะใช้พลังงานสมองทั้งหมดในการควบคุมตัวเองไม่ให้ระเบิดอารมณ์ออกมาผ่านภาษากายเพื่อบอกคนและหมารอบตัวว่าเขากำลังจะไม่ไหวแล้ว ถึงจุดนี้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะลดลงอย่างมาก
  • เมื่อการสื่อสารไม่ได้รับการตอบสนองหรือการช่วยเหลือที่เหมาะสม น้ำที่ปริ่ม ๆ ก็จะทะลักออกจากถัง จุดนี้หมาจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองไปโดยสิ้นเชิง สมองส่วนที่ใช้เหตุผลจะปิดตัวลง และถูกแทนที่ด้วยสมองส่วนสัญชาตญาณเพื่อการเอาตัวรอด (สู้ หนี หรือนิ่ง) ทำให้หมาแสดงพฤติกรรมที่รุนแรงและดูเหมือนขาดสติ

หมาจะรับมือได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย

1. ขีดจำกัดความอดทน

หมาในแต่ละช่วงอายุจะมีขีดจำกัดแตกต่างกัน โดยสำหรับหมาเด็กนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเกินได้ตลอดเวลา และจะค่อย ๆ มีความอดทนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัย หมาโตจะมีขีดจำกัดที่สูงขึ้น และทนต่อการถูกกระตุ้นได้ง่ายขึ้น ปัจจัยนี้เราเปลี่ยนแปลงเองไม่ได้ แต่เราสามารถเข้าใจเขาได้ว่าเราควรที่จะคาดหวังระดับความอดทนระดับไหนจากหมาเช่น ถ้าเรามีลูกหมา เราควรรู้ว่าแค่การเล่นกับเขาครั้งละนาน ๆ ก็อาจทำเขาเสียสติได้

2. สิ่งกระตุ้นที่เขาต้องรับมือ

นอกเหนือจากเหตุการณ์ใหญ่ ๆ เช่นการเจอหมาตัวอื่นพุ่งเข้าหมาแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่มักไม่ถูกพูดถึง และส่งผลต่อความเครียดหมามาก ๆ คือ  ความเครียดสะสม (Trigger Stacking) เพราะหมาไม่ได้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยถังน้ำที่ว่างเปล่าเสมอไป ความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดทั้งวันสามารถเติมน้ำลงในแก้วได้อย่างต่อเนื่อง เช่น เสียงก่อสร้างข้างบ้าน การไม่ได้ออกไปไหน การปวดฉี่เล็ก ๆ ความหิวหน่อย ๆ การโดนหมาอีกตัวกวนทั้งวัน หรือวันที่มีคนมาส่งของบ่อย ๆ (เช่น 1 วันหลัง วันที่ 9 เดือน 9 ) ความเครียดเหล่านี้อาจจะเล็กน้อยเหมือนหยดน้ำ 1 หยด และรวมกันตลอดวันก็สามารถสะสมจนปริ่มถังได้ และเมื่อมีสิ่งเร้าเบาๆ ก็อาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ดูเผิน ๆ เหมือน อยู่ ๆ เขาก็สติหลุดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

3. การระบายความเครียด

หมามีระบบระบายความเครียดและจัดการตัวเองมากมายเพื่อที่จะจัดการกับระดับน้ำในถังของเขา โดยหลัก ๆ ที่สังเกตได้ชัดคือ

  • การแทะ เลีย ดม – การแทะ การเลีย และการดมเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลายที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ สำหรับหมา และที่สำคัญเป็นสิ่งที่เราสามารถช่วยเขาได้ โดยการจัดสรรให้เขามีของเล่นแทะ หา lickmat มาให้เขาเล่น หรือการหาอะไรให้เขาได้ใช้จมูกดม กิจกรรมแบบนี้ช่วยให้หมาผ่อนคลายและปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ในสมองเหมือนการกลับจากทำงานมาเปิดซีรีย์ดูของมนุษย์เรา
  • การนอน – การนอนคือหัวใจที่สำคัญที่สุดในการจัดการความเครียด และคุณภาพชีวิตในระยะยาวของหมา หมาโตต้องการการนอนประมาณ 15 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่หมาเด็กต้องการประมาณ 20 ชั่วโมงต่อวัน การนอนพอคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเคลียร์ความสะสม และการอดนอนคือความเครียดสะสมที่รบกวนหมาได้มากที่สุด ดังนั้นการจัดสรรให้หมาได้นอนให้พอโดยไม่มีอะไรมารบกวนคือสิ่งที่ลดความเครียดของหมาได้มหาศาล

สัญญาณทางพฤติกรรม

ระยะที่ 1: เริ่มเครียด แต่ยังสบาย

ในระยะนี้ สุนัขยังควบคุมตัวเองได้ แต่เริ่มแสดง “ภาษากายเพื่อลดความเครียด” (Calming Signals) ออกมาอย่างไม่รู้ตัวเพื่อบอกตัวเองและสิ่งรอบข้างว่า “ฉันเริ่มรู้สึกไม่สบายใจแล้วนะ” เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นที่รบกวนเขา เช่น

  • หาว ทั้งๆ ที่ไม่ง่วงนอน
  • เลียจมูกหรือริมฝีปากตัวเองอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้ง
  • เกาตัวเองทั้งที่ไม่ได้คัน
  • สะบัดตัวเหมือนหมาเปียกน้ำสะบัดขน เหมือนพยายามสลัดความเครียดทิ้ง
  • หันหน้าหนี หรือเบือนสายตาหลบเพื่อบอกว่า “ไม่อยากมีเรื่อง”
  • ดมพื้นจริงจังใช้การดมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองจากสิ่งเร้าที่น่ากังวล

ในระยะนี้ สุนัขอาจจะยังรับขนมหรือของเล่นได้ แต่จะเริ่มทำอย่างลังเลมากขึ้น นี่ตอนนี้คือเวลาที่ดีที่จะพาเขาออกจากสถานการณ์ สำหรับหมาที่ฝึกมาแล้วการเรียกกลับออกมายังเป็นไปได้อยู่

ระยะที่ 2: ใกล้แล้วนะ !

เมื่อความเครียดเพิ่มสูงขึ้นจนปริ่มขอบ ภาษากายจะชัดเจนและรุนแรงขึ้น:

  • ร่างกายเริ่มแข็ง กล้ามเนื้อจะเกร็งและแข็งสำหรับการพร้อมหนีหรือจู่โจม
  • สายตาจะจับจ้องไปที่สิ่งเร้าอย่างไม่วางตา
  • ปากปิดสนิท จากที่เคยหอบหายใจสบายๆ จะเปลี่ยนเป็นเม้มปากแน่น
  • หูตั้งหรือลู่ไปข้างหลัง
  • หางแข็งและชี้สูง อาจจะมีแกว่งเล็กน้อยและเร็วกว่าการกระดิกหากปกติ
  • ขนคอและสันหลังตั้ง
  • ตาขาวเบิกกว้าง จากการเหลือบมองจนเห็นตาขาว

ณ จุดนี้ สุนัขส่วนใหญ่จะไม่สนใจขนมหรือการเรียกอะไรแล้ว สมองของเขากำลังจะเข้าสู่โหมดเอาตัวรอดเต็มรูปแบบ ณ จุดนี้ควรรีบเอาออกมาโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะหมาใหญ่ที่ถ้าเลยจุดนี้จะยากแล้ว

ระยะที่ 3: สภาวะระเบิดอารมณ์ (Over-Threshold)

นี่คือจุดที่หมาสูญเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์ พฤติกรรมที่แสดงออกมาคือสัญชาติญาณเอาตัวรอดผ่านระบบ “สู้-หนี-หรือนิ่ง” (Fight, Flight, or Freeze) โดยหมาอาจแสดงออก 1 ใน 3 อย่างนี้ หรืออาจจะสลับไปมา

  • สู้ (Fight): เห่าอย่างบ้าคลั่ง, กรรโชก, กระโจนเข้าใส่, ขู่คำราม, งับ หรือกัด
  • หนี (Flight): พยายามดึงสายจูงอย่างแรงเพื่อหนีออกจากสถานการณ์, วิ่งวนอย่างตื่นตระหนก (Frantic Zoomies)
  • นิ่ง (Freeze): หยุดนิ่งเหมือนถูกสาป, ตัวแข็งทื่อ, ไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดๆ หรืออาจจะ “ปิดสวิตช์ตัวเอง” (Shutdown) ไปโดยสิ้นเชิง

ในสภาวะนี้ สุนัขไม่สามารถเรียนรู้ได้ การลงโทษ ดุ ตะคอก หรือกระตุกสายจูง จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เพราะมันคือการเติมเชื้อไฟแห่งความกลัวและความเครียดเข้าไปอีก ถ้าถึงจุดนี้แล้วอาจจะต้องอุ้มหนีเท่านั้น


สิ่งที่เกิดขึ้นภายในหัวหมาเมื่อเขาสติหลุด

ท่ามกลางพฤติกรรมโกลาหลที่เรามองเห็นได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในสมองหมานั้นยิ่งกว่านั้น มันคือพายุของสารเคมีและปฏิกิริยาทางไฟฟ้าในร่างกายของสุนัข ซึ่งเป็นกลไกการเอาตัวรอดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

พายุฮอร์โมนความเครียด

เมื่อสมองส่วนที่เรียกว่า อะมิกดาลา (Amygdala) ที่ทำงานเหมือนเครื่องจับควัน มันจะส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังทั่วทั้งร่างกายส่งเสียงหวอไปทั่วร่างกายหมา แต่แทนที่จะเป็นการเปิดน้ำมาดับไฟเหมือนเครื่องจับควัน ในกรณีนี้จะเหมือนการปล่อยน้ำมันมากกว่า เพราะเมื่อระบบเตือนภัยทำงานหมาจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมาอย่างดุเดือด

  1. อะดรีนาลิน (Adrenaline): นี่คือฮอร์โมนที่ตอบสนองฉับพลัน มันจะถูกปล่อยออกมาภายในไม่กี่วินาทีเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม “สู้หรือหนี” ผลของมันคือ:
    • หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น: เพื่อสูบฉีดเลือดไปยังกล้ามเนื้อ
    • หายใจถี่และเร็วขึ้น: เพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายให้มากที่สุด
    • ม่านตาขยาย: เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
    • ระบบย่อยอาหารและระบบที่ไม่จำเป็นหยุดทำงานชั่วคราว: เพื่อสงวนพลังงานไว้ใช้ในการเอาตัวรอด
  2. คอร์ติซอล (Cortisol): หรือฮอร์โมนหลักของความเครียด จะถูกหลั่งออกมาหลังจากอะดรีนาลินเล็กน้อย หน้าที่ของมันคือการระดมพลังงานสำรอง (น้ำตาลและไขมัน) เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อให้ร่างกายมีเชื้อเพลิงในการต่อสู้หรือหลบหนีเป็นเวลานาน ปัญหาคือ คอร์ติซอลจะคงอยู่ในร่างกายได้นานถึง 3 วันในหมา และทำให้หลังจากหมามีเหตุการณ์ Over-Threshold ใหญ่ ๆ ไปแล้ว เขาจะยังคงตื่นตัวและพร้อมที่จะถูกกระตุ้นได้ง่ายกว่าปกติไปอีกประมาณ 3 วัน และนานกว่านั้นถ้านอนไม่พอ

สภาวะนี้รู้สึกยังไง ?

เพื่อให้เข้าใจหมาในสภาวะ Over-Threshold มากขึ้น ด้วยระดับสารเคมีในสมอง ประสบกาณ์ที่ใกล้เคียงที่สุดของมนุษย์ที่พอจะเทียบได้ใกล้เคียงที่สุด คือ Panic Attack ที่เมื่อเกิดในมนุษย์จะมีอาการ เช่น

  • หัวใจเต้นรัวจนเหมือนจะหลุดออกมา
  • หายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะขาดอากาศ
  • หน้ามืด วิงเวียน เหมือนจะเป็นลม
  • เหงื่อแตก ตัวสั่นควบคุมไม่ได้

โฟกัสจะแคบลงเหลือเพียงแค่สิ่งที่หวาดกลัวที่อยู่ตรงหน้า จนไม่สนใจอะไรอย่างอื่นได้ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ก็แทบไม่ได้ยิน และอยากที่จะที่จะหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

นี่คือสิ่งที่หมารู้สึกในสภาวะ Over-threshold

ถ้าใครพอจะจินตนาการตัวเองในสภาวะแบบนี้ก็จะพอเข้าใจว่า

  • หมาที่เห่าและการกระโจน ไม่ใช่ความก้าวร้าว แต่มันคือส่วนหนึ่งของการกรีดร้องจากความกลัวสุดขีด คือการแสดงออกทางกายภาพของหัวใจที่เต้นระรัวและอะดรีนาลินที่พลุ่งพล่าน
  • การที่หมาไม่ฟังคำสั่ง “นั่ง!” หรือ “หยุด!” ไม่ใช่ความดื้อ แต่เป็นสภาวะที่สมองส่วนเหตุผลถูกตัดขาดไปแล้ว
  • การจ้องเขม็งไปที่สิ่งเร้า ไม่ใช่การพยายามท้าทาย แต่มันคือสภาวะที่สมองถูกครอบงำด้วยภัยคุกคาม จนไม่สามารถละสายตาไปจากสิ่งที่มันเชื่อว่าจะทำอันตรายต่อมันได้

หมารับมือกับสภาวะนี้ได้ยากกว่าเรามาก

ในขณะที่กลไกทางสรีรวิทยาพื้นฐานของความเครียดระหว่างคนกับสุนัขนั้นคล้ายคลึงกันมาก แต่มนุษย์เรามี สมองส่วนหน้าที่พัฒนาไปไกลกว่ามาก

ความแตกต่างนี้ทำให้เรามีความสามารถในการรับมือกับความเครียดที่สุนัขทำไม่ได้:

  1. การประเมินสถานการณ์ใหม่ (Cognitive Reappraisal): เมื่อเราตกใจเราสามารถใช้สมองส่วนเหตุผลบอกตัวเองได้ว่า “เราแค่ตกใจ มันไม่ใช่หัวใจวาย เราไม่ได้กำลังจะตายจริงๆ เดี๋ยวอาการนี้ก็จะผ่านไป” ความสามารถในการ “พูดกับตัวเอง” นี้ช่วยลดความรุนแรงของความกลัวลงได้ แต่หมาไม่มีระบบนี้ สำหรับเขาแล้ว ภัยคุกคามที่เขารับรู้ คือความจริงที่ไม่สามารถใช้เหตุผลมาหักล้างได้ว่าสุนัขอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนนั้นถูกล่ามไว้และไม่สามารถเข้ามาทำร้ายมันได้
  2. ความเข้าใจในบริบท (Contextual Understanding): เราเข้าใจว่าเสียงพลุที่ดังนั้น ต่อให้เราจะตกใจ แต่ก็รู้ว่ามันไม่อันตราย แต่สำหรับสุนัขที่ไม่รู้จักพลุมันคือเสียงระเบิดที่ผิดธรรมชาติและน่ากลัวและคาดเดาไม่ได้
  3. ภาษา (Language): เราสามารถใช้ภาษาเพื่ออธิบายความกลัวและความรู้สึกของเราให้คนอื่นฟังเพื่อขอความช่วยเหลือและกำลังใจได้ แต่หมาทำได้เพียงสื่อสารผ่านภาษากายและการเห่า แต่หลายครั้งกลับถูกตีความไปว่าเป็น “พฤติกรรมไม่ดี” ที่ต้องถูกลงโทษ

เราจะช่วยหมาได้อย่างไรบ้าง ?

  1. หยุดการลงโทษ: การลงโทษสุนัขที่อยู่ในสภาวะนี้ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าคนที่กำลังร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว มันไม่เพียงแต่ไร้มนุษยธรรม แต่ยังไร้ผลโดยสิ้นเชิง เพราะมันยิ่งตอกย้ำให้สมองของสุนัขเรียนรู้ว่าสิ่งเร้านั้นน่ากลัวจริงๆ และเจ้าของก็เป็นอีกสิ่งที่น่ากลัวเช่นกัน
  2. คอยเฝ้าระวัง: หน้าที่ของเราคือการสังเกตและเรียนรู้ที่จะอ่านสัญญาณเตือนระยะไกลของสุนัขให้ได้ เพื่อที่จะพาพวกเขาออกจากสถานการณ์ ก่อน ที่น้ำในถังจะล้น
  3. การสร้างระยะห่างคือตัวช่วยที่ดีที่สุด: วิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดในการลดความเครียดให้สุนัขคือการเพิ่มระยะห่างระหว่างตัวเขากับสิ่งเร้า พาสุนัขเดินเลี้ยวไปอีกทาง ข้ามถนน หรือเดินกลับบ้านทันทีที่คุณเห็นสัญญาณเตือนแรก
  4. เป็นตัวแทนให้กับหมา: เรารู้จักหมาของเราเองดีที่สุด และเรามีความสามารถในการปกป้องพวกเขาจากสถานการณ์ที่เกินกว่าจะรับมือได้ เช่น เมื่อมีคนแปลกหน้าพยายามจะเข้ามาเล่นกับหมาเราในขณะสภาวะที่หมากำลังเครียด หมาไม่สามารถห้ามคนนั้นได้เอง แต่เราสามารถพูดแทนหมาได้ว่าอย่าเข้ามา
  5. เปลี่ยนความรู้สึกด้วยการฝึกที่ถูกต้อง: เมื่อหมาอยู่ในสภาวะที่ยังมีสติ เราสามารถใช้เทคนิคการลดความไวต่อสิ่งเร้า (Desensitization) และการสร้างเงื่อนไขเชิงบวก (Counter-conditioning) เพื่อเปลี่ยนความรู้สึกของหมาให้เขาโอเคกับสิ่งที่เขาใกล้ได้มากขึ้นได้ โดยต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

บทสรุป: จากความเข้าใจสู่ความผูกพันที่ลึกซึ้ง

สุนัขที่กำลังเห่า กรรโชก หรือดึงสายจูงอย่างบ้าคลั่ง ไม่ใช่สุนัขที่กำลังท้าทายอำนาจ หรือเป็นสุนัขที่ “นิสัยเสีย” แต่เขาคือสุนัขที่กำลังทุกข์ทรมาน กำลังเผชิญกับคลื่นสึนามิทางสรีรวิทยาและอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ พวกเขากำลังส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยภาษาเดียวที่พวกเขามี

การเปลี่ยนมุมมองของเราจากความหงุดหงิดเป็นการเข้าอกเข้าใจ คือของขวัญล้ำค่าที่สุดที่เราจะมอบให้เพื่อนสี่ขาได้ เมื่อเรามองเห็นความกลัวที่ซ่อนอยู่หลังพฤติกรรมเกรี้ยวกราด เราจะเปลี่ยนจากการ “แก้ไข” มาเป็นการ “ช่วยเหลือ” เปลี่ยนจากการ “ควบคุม” มาเป็นการ “ปกป้อง” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้างความไว้วางใจและความผูกพันที่แท้จริง ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสุนัขแน่นแฟ้นและสวยงามยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา