Table of Contents

เวลาที่น้องหมาบาดเจ็บสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่ความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่มันร่วมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบประสาทของด้วย ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำหน้าที่เหมือนสวิตช์ ปิดการทำงานของสมองส่วนที่รับผิดชอบต่อความผูกพัน ความไว้วางใจ และแล้วเปิดการทำงานของสมองส่วนสัญชาตญาณดิบที่มุ่งเน้นแค่”การเอาชีวิตรอด”เพียงอย่างเดียว

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกับหมาทุกตัว เพราะมันเป็นปฏิกิริยาทางชีววิทยาที่ควบคุมไม่ได้ สัญชาตญาณในการป้องกันตัวจะเข้ามาแทนที่เหตุผลทั้งหมด ทำให้แม้แต่หมาที่อ่อนโยนที่สุดในโลกก็สามารถกัดเจ้าของได้เมื่อเจ็บมากพอ นั่นทำให้การทำความเข้าใจสภาวะนี้ของพวกเขาจึงเป็นหัวใจสำคัญของการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะเราต้องพาเขาไปหาแพทย์ให้เร็วที่สุดแต่ถ้าเราโดนกัดทุกอย่างจะช้าลง

นั่นทำให้การอ่านภาษากายของสุนัขให้ได้นั้นสำคัญมาก ๆ กับในกรณีฉุกเฉินแบบนี้ เพราะนอกจากเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้โดนกัดแล้ว ยังป้องกันไม่ให้หมาที่เจ็บอยู่แผลฉีก หรือเสี่ยงบาดเจ็บมากกว่าเดิมจากการพยายามกัดด้วย

1. ดูอย่างไรว่าหมาบาดเจ็บ ?

ถ้าเราไม่อยู่ในเหตุการณ์การบาดเจ็บ การสังเกตถึงสัญญาณความเจ็บปวดคือก้าวแรกของการช่วยเหลือ และเข้าหาอย่างปลอดภัย โดยเราสามารถสังเกตได้ว่าหมากำลังเจ็บอยู่ผ่านทั้งสัญญาณเหล่านี้

  • สัญญาณทางกายภาพที่ชัดเจน: การร้องครางหรือร้องเอ๋ง การขู่คำราม การเดินกะเผลกอย่างเห็นได้ชัด ตัวสั่น หรือการปฏิเสธที่จะขยับตัว
  • การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม: การพยายามหลบซ่อนตัว แยกตัวออกจากครอบครัว แสดงความก้าวร้าวผิดปกติ หรือเลียบริเวณที่เจ็บซ้ำๆ ไม่หยุด
  • ภาษากายที่ละเอียดอ่อน: ท่าทางหลังโก่ง หางตกซุกอยู่ระหว่างขา กล้ามเนื้อเกร็ง หรือการหอบทั้งที่อากาศไม่ร้อน

เมื่อเราพบเห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้โดยเฉพาะเมื่อเขาเริ่มแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด การเข้าหาอย่างถูกต้องคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือเลวร้ายลง โดยเฉพาะเมื่อเขามีส่งสัญญาณขู่เมื่อเราเข้าใกล้

2. วิธีการเข้าหาเมื่อหมาบาดเจ็บ

สุนัขที่อยู่ในโหมดเอาชีวิตรอดจะไวต่อพลังงานรอบตัวมากเป็นพิเศษ จากที่ปกติหมาจะไวอยู่แล้ว แต่ในเวลานี้ความตื่นตระหนกของเราจะยิ่งทำให้เขาหวาดระแวงได้มาก ๆ ดังนั้นเราต้องควบคุมตัวเองและเข้าหาอย่างในเย็นเพื่อสร้างความไว้วางใจในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด ขั้นตอนสำคัญคือการใช้ภาษากายที่สงบและไม่คุกคาม ซึ่งจะช่วยลดความหวาดกลัวของสุนัขลงได้

ลดสิ่งกระตุ้น และเคลียร์พื้นที่:

ระบบประสาทของสุนัขที่บาดเจ็บจะไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างมากเป็นพิเศษดังนั้น หรี่ไฟในห้องลง ปิดโทรทัศน์หรือวิทยุ และพูดคุยด้วยเสียงที่เบาที่สุด การลดข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่เข้ามาจะช่วยให้สมองของสุนัขไม่ต้องทำงานหนักเกินไป รวมถึงควรกันเด็ก สัตว์เลี้ยงอื่นๆ หรือบุคคลที่ไม่จำเป็นให้ออกไปจากบริเวณนั้น สุนัขที่บาดเจ็บต้องการความสงบและปราศจากแรงกดดันทางสังคมหรือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้

เข้าหาจากด้านข้าง:

ในโลกของหมา การประจันหน้ากันตรงๆ คือการท้าทายหรือการคุกคามโดยตรง สัญชาตญาณจะบอกให้สุนัขเตรียมพร้อมที่จะสู้หรือหนีทันที แม้ในชีวิตปกติหมาอาจเรียนรู้ไปแล้วว่าสัญญาณจากเจ้าของไม่ใช่เรื่องต้องกังวล แต่สภาวะที่หมาเจ็บเขาไม่ได้คิดด้วยสมองส่วนนี้ ดังนั้นเราควรเข้าหาแบบเป็นมิตรใหม่เหมือนเพิ่งรู้จักกันใหม่อีกครั้ง

แทนที่จะเดินเข้าหาตรงๆ หันข้างเพื่อให้หมาเห็นช่วงไหล่ของเราแทนที่จะเป็นลำตัว วิธีนี้จะทำให้ร่างกายของเราดูเล็กลงและไม่น่ากลัว เป็นการส่งสัญญาณสากลในโลกของสัตว์ว่าเรามาอย่างเป็นมิตร

ย่อตัวลงต่ำ: 

ทำให้ตัวเองดูตัวเล็กลงและไม่น่ากลัวด้วยการคุกเข่าหรือนั่งยองๆ คือวิธีที่ดีที่สุดในการลดระดับความสูง แต่ต้องทำอย่างถูกต้อง โดยหลีกเลี่ยงการก้มตัวลงมาจากท่ายืนแบบไม่ย่อเข่า เพราะท่าทางที่โค้งงอลงมาอาจดูเหมือนท่าเตรียมจู่โจมของสัตว์นักล่าในสายตาของสุนัขที่กำลังหวาดกลัว

เดินเข้าหาเป็นเส้นโค้ง:

อย่าเดินดิ่งตรงเข้าหาตรง ๆ แต่ใช้การเดินเป็นเส้นโค้งเล็กน้อย เพื่อแสดงการพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า

เลี่ยงการมองตา:

การจ้องตาโดยตรง คือหนึ่งในสัญญาณท้าทายที่รุนแรงที่สุด ใช้สายตาที่อ่อนโยนเพื่อสื่อสารว่าเราไม่มีเจตนาทำร้าย โดยการมองไปที่อก หรือส่วนอื่นของเขาแทนดวงตา และการกะพริบตาอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งความสงบที่สื่อว่าเรากำลังรู้สึกผ่อนคลายและไม่เป็นอันตราย

พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ: ใช้น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและสม่ำเสมอ ไม่สำคัญว่าเราจะพูดว่าอะไร แต่น้ำเสียงที่ใจเย็นและสงบจะช่วยให้หมาใจเย็นลงและดึงสติกลับมาได้

ให้หมาเริ่มสัมผัสแรก: ไม่ว่าอยู่ด้วยกันมากี่ปีแล้ว เวลาแบบนี้การยื่นมือให้เขาดมก่อนเหมือนเจอหมาแปลกหน้าก็จะกลับมาสำคัญอีกครั้ง เพราะในสภาวะนั้นหมาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และกลิ่นของเจ้าของจะช่วยให้เขาผ่อนคลายและดึงสติกลับมาได้ระดับหนึ่ง

หลังจากที่สัมผัสหมาได้สำเร็จโดยไม่สร้างความเครียดเพิ่มเติม ความท้าทายต่อไปคือการประเมินอาการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกกัดหากทำอย่างไม่ระมัดระวัง

3. วิธีการปลอบหมาเมื่อเขาบาดเจ็บ

เวลาที่หมาอยู่ในโหมดเอาชีวิตรอดจากความเจ็บปวด การปลอบโยนที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่การแสดงความรักตามสัญชาตญาณของมนุษย์ เช่น การกอด หรือย้ำ ๆ “ไม่เป็นไร” แต่คือการสร้างสภาวะที่สงบและปลอดภัยเพื่อให้สมองที่กำลังตื่นตระหนกของสุนัขได้ผ่อนคลายลงโดยใช้การน้ำเสียง และการสัมผัสที่ถูกวิธี

การปลอบหมาด้วยสัมผัส

การสัมผัสหมาตอนเจ็บเป็นได้ทั้งยาและยาพิษเพราะ สัมผัสที่ผิดวิธีจะยิ่งเพิ่มความเครียดให้สุนัข

สิ่งที่ควรระวังในสถานกาณ์นี้:

  • การตบเบาๆ (Patting): เป็นการกระตุ้นที่รุนแรงเกินไปในสถานการณ์นี้
  • การกอด (Hugging):โดยธรรมชาติแล้วหมาส่วนใหญ่ไม่ชอบการกอด เพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกและไม่มีทางหนี แม้โดยทั่วไปแล้วหมาในบ้านอาจเรียนรู้ที่จะทนให้เรากอดได้ แต่มันจะกลับมาอันตรายอีกครั้งในสถานการณ์นี้เพราะตอนนี้เขากำลังใช้สมองส่วนสัญชาตญาณ
  • การลูบหัว และการเอื้อมมือเหนือหัวเขา: เช่นเดียวกันกับการกอด การลูบหัวเป็นหนึ่งในสิ่งที่โดยธรรมชาติแล้วหมาส่วนใหญ่จะไม่ชอบแต่สามารถเรียนรู้ที่จะทนหรือชอบได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวังในสถานการณ์แบบนี้ เพราะเวลาที่เขาขับเคลื่อนด้วยการเอาตัวรอดเต็มรูปแบบการลูบหัวสามารถกลับมาเป็นสัญญาณคุกคามสำหรับเขาได้

สังเกตความยินยอมให้สัมผัส

ในเวลาแบบนี้ก่อนจะสัมผัสตัวสุนัข ควรเช็คก่อนว่าเขาต้องการไหม โดยวิธีคือ

  1. ค่อยๆ วางมือลงนิ่งๆ บนบริเวณที่ปลอดภัย เช่น หัวไหล่หรือหน้าอก เป็นเวลา 2-3 วินาที
  2. นำมือของคุณออก และสังเกตปฏิกิริยาของสุนัข
  3. สัญญาณ “อนุญาต”: สุนัขเอนตัวเข้าหา ใช้จมูกดุนมือ ร่างกายผ่อนคลาย หรือถอนหายใจเบาๆ หากเป็นเช่นนี้ คุณสามารถเริ่มลูบอย่างช้าๆ ได้
  4. สัญญาณ “ปฏิเสธ”: สุนัขตัวแข็งทื่อ หยุดนิ่ง หันหน้าหนี เห็นตาขาว (Whale eye) หรือเลียริมฝีปากตัวเอง หากเจอแบบนี้ ให้หยุดความพยายามที่จะสัมผัส การเคารพการตัดสินใจของสุนัขคือการสร้างความไว้วางใจที่ดีที่สุด และใช้การปลอบด้วยเสียงและกลิ่นให้เขาใจเย็นแทน

เมื่อหมาอนุญาต

หากหมาอนุญาต ให้ใช้ฝ่ามือข้างเดียวลูบเป็น แนวยาว, ช้าๆ, และสม่ำเสมอ ด้วยแรงกดที่มั่นคงแต่ไม่หนักเกินไป การเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและคาดเดาได้นี้จะช่วยให้ระบบประสาทของสุนัขสงบลง

การปลอบหมาด้วยเสียง

หมาไม่เข้าใจคำศัพท์ของเรา แต่เขาเข้าใจท่วงทำนองและอารมณ์ที่อยู่ในน้ำเสียงของเราได้ดี

  • ระวังเสียงแหลมสูง: การปลอบด้วยด้วยน้ำเสียงที่แหลมสูงและตื่นตระหนกจะยิ่งส่งข้อความว่า “มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น!” ไปยังสุนัขแม้เนื้อหาจะบอกว่าไม่เป็นไร
  • ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล เสียงสูงกว่าปกติเพียงเล็กน้อย (เสียงสอง) โดยเลี่ยงการส่งเสียงดัง ห้วน หรือทุ้มต่ำจนเกินไปเพราะอาจฟังดูเหมือนการข่มขู่
  • พูดช้าๆ อย่างต่อเนื่อง: สร้างกระแสของเสียงที่สงบและคาดเดาได้ มีท่วงทำนองที่ผ่อนคลายเหมือนการร้องเพลงกล่อมเด็ก สิ่งนี้จะทำหน้าที่เหมือน “ผ้าห่มแห่งเสียง” (Sonic Blanket) ที่ช่วยปลอบประโลมความวิตกกังวลของสุนัข
  • เนื้อหาไม่สำคัญ: ไม่ต้องหาคำพูดที่ดีที่สุด ถ้าคิดไม่ออกอาจจะแค่พูดชื่อสิ่งของที่อยู่ในห้อง หรือแม้แต่พูดไม่เป็นภาษาแต่ใช้น้ำเสียงและจังหวะที่ถูกต้องก็ได้ผลเช่นเหมือนกัน เพราะหมาตอบสนองต่อ “วิธีการพูด” ไม่ใช่ “สิ่งที่พูด”

เมื่อหมาสงบลงแล้ว และไม่ได้มีท่าทีแย่ลง ก็สามารถพาไปหาหมอได้ตามปกติ แต่ถ้าแม้สงบแล้วแต่อยู่ ๆเหมือนจะมีอาการเจ็บขึ้นมาใหม่ หรือเราหาจุดที่เขาบาดเจ็บไม่เจอ ก่อนจะเคลื่อนย้าย หรือเช็คแผลเราอาจต้องพิจารณาที่ครอบปากให้เขาชั่วคราว

ความปลอดภัยเจ้าของต้องมาก่อน

ในสถานการณ์ฉุกเฉินของสัตว์เลี้ยง สิ่งสำคัญไม่ใช่การพยายามเป็นวีรบุรุษด้วยการยอมเสี่ยงให้ถูกกัด แต่คือการตัดสินใจทำในสิ่งที่ปลอดภัยและผ่านการไตร่ตรองแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถพาเขาไปรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญได้เร็วที่สุด ความปลอดภัยของเราจึงต้องมาก่อน เพราะถ้าเราบาดเจ็บทุกอย่างก็จะช้าลง ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้คือตั้งสติและเข้าหาอย่างปลอดภัย มอบความสบายใจให้เขาผ่านการอ่านภาษากาย และตอบสนองให้ถูกต้องเพื่อเป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการพาเขาไปพบสัตวแพทย์ให้เร็วและปลอดภัยที่สุด