หมาบางตัวถึงดูสบายๆ กับทุกสถานการณ์ ทั้งเสียงฟ้าร้อง คนแปลกหน้า ในขณะที่หมาบางตัวกลับตื่นตระหนกและพร้อมจะเห่าหรือวิ่งหนีเมื่อเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน? คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ใน “มายด์เซ็ต” ที่เรียกว่า “Optimism” หรือ “การมองโลกในแง่ดี” ครับ
Optimism ในโลกของหมานั้นหมายถึงว่าเวลาที่มีความไม่แน่นอน หมาความคาดหวังว่ามันจะนำไปสู่สิ่งที่ดี หรือพูดได้ว่า “โลกเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและเต็มไปด้วยเรื่องดีๆ”
หมาที่มองโลกในแง่ร้าย (Pessimistic) จะใช้ชีวิตอยู่บนความระแวดระวัง จะมองสิ่งใหม่ๆ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันว่าเป็นภัยคุกคาม นำไปสู่พฤติกรรมที่เราไม่ต้องการ เช่น ความก้าวร้าวจากความกลัว (Fear Aggression) หรือการเห่าไม่หยุด ในทางกลับกัน หมาที่มองโลกในแง่ดี (Optimistic) จะเป็นหมาที่มีภูมิต้านทานที่แข็งแกร่ง นอกจากไม่เครียดไปก่อนกาลแล้วยังสามารถฟื้นตัวจากความตกใจได้เร็วและมีความยืดหยุ่นทางอารมณ์สูงกว่า
วันนี้จะพาเราไปดูกันว่าทำไมหมาควรที่จะโลกสวย และเราจะปั้นแต่งมายด์เซ็ตที่สำคัญนี้ให้เกิดขึ้นกับของเขาได้ยังไง
ทำไม Optimism ถึงสำคัญ ?
การฝึกแบบดั้งเดิมมักจะเน้นไปที่การ “แก้ไข” ความกลัวเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เช่น การพยายามปลอบเมื่อหมากลัวเสียงดัง หรือการพยายามทำให้เขาคุ้นชินกับสิ่งที่เขากลัว (ซึ่งบางครั้งอาจทำให้อาการแย่ลง)
แต่การสร้าง Optimism คือการทำงานในเชิง “ป้องกัน” มากกว่าโดยการสร้างภูมิคุ้มกันที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดความกลัวรุนแรงในอนาคต ให้หมาเรียนรู้ว่าโลกใบนี้ใจดีกับเขา
ข้อดีของการฝึก Optimism
- เปลี่ยน “สิ่งที่ไม่รู้จัก” ให้กลายเป็น “โอกาส”:
หมาที่มองโลกในแง่ดี เมื่อเจอสิ่งใหม่ๆ หรือเสียงที่ไม่คุ้นเคย คำถามแรกในหัวของเขาจะไม่ใช่ “มันอันตรายหรือเปล่า?” แต่จะเป็น “จะมีอะไรดี ๆ ตามมาบ้างนะ ?” - ฟื้นตัวจากความตกใจได้เร็ว (Resilience):
ไม่มีหมาตัวไหนที่ไม่เคยตกใจแต่หมาที่มองโลกในแง่ดีจะสามารถสลัดความตกใจนั้นทิ้งไปแล้วกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่าเพราะสมองของเขาไม่ได้จมอยู่กับความรู้สึกด้านลบ - ลดความจำเป็นในการพึ่งพาเราตลอดเวลา:
หมาที่มีความเชื่อมั่นว่าโลกใบนี้ใจดี จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเองมากขึ้น โดยไม่ต้องคอยมองหาการปลอบโยนหรือการปกป้องจากเราตลอดเวลา
ฝึกหมาให้มองโลกในแง่ดี “โลกมันก็แค่ตู้เย็น !”
วิธีง่าย ๆ ในการสร้าง Optimism คือการ “ให้รางวัล” ให้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อม โดยที่หมาเรานั้นไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อสร้างความเชื่อมโยงในสมองของเขาว่า “เหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น = จะมึขนมตามมา” ตัวอย่างเช่น:
- เสียงกริ่งประตูดัง? ให้ขนมหมาทันที
- เห็นคนเดินผ่านหน้าต่าง? ให้ขนม
- มีแมววิ่งตัดหน้าตอนเดินเล่น? ให้ขนม
- เสียงเครื่องดูดฝุ่นดังขึ้น? ให้ขนม
- อะไรก็ตามเกิดขึ้น > ให้ขนม
เราทำแบบนี้ได้กับทุกๆ เหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเสียงแตรรถ, เสียงเด็กเล่นกัน, หรือแม้แต่เสียงใบไม้ร่วง โดยสิ่งสำคัญคือ
- ให้รางวัลทันทีที่เหตุการณ์เกิดขึ้น: เพื่อให้สมองของหมาเชื่อมโยงเหตุการณ์นั้นกับรางวัลได้โดยตรง
- จะยิ่งดีถ้าโปรยขนมลงบนพื้น: การทำเช่นนี้จะกระตุ้นให้เขาใช้จมูกดมหา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสงบและเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งกระตุ้นนั้นๆ ได้ดี
- ทำตัวเป็นกลางที่สุด: เราเป็นแค่ “ผู้ส่งสาร” ไม่ใช่ “ผู้สร้างเหตุการณ์” โดยเราไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดเสียงกริ่ง (เริ่มฝึกโดยใช้คนอื่นช่วยสร้างสิ่งรบกวน) แต่เราเป็นคนที่ทำให้ “ผลลัพธ์” ของเสียงกริ่งนั้นกลายเป็นเรื่องดีๆ
การทำแบบนี้ได้กับหลาย ๆ อย่างจะค่อยๆ เปลี่ยนการทำงานของสมองเขา จากเดิมที่อาจจะมองว่า “เสียงกริ่ง = ผู้บุกรุก!” ไปสู่การมองว่า “เสียงกริ่ง = ขนม !” นี่คือการสร้างการมองโลกในแง่ดีระดับจิตใต้สำนึกอย่างแท้จริง โดยเมื่อเราทำแบบนี้หลากหลายมากขึ้น หมาจะเริ่มตีความครอบคลุมไปถึงความไม่แน่นอนอื่น ๆ ที่แม้จะไม่เคยฝึกมา แต่ก็พอจะอนุมานได้ว่า “อันนี้ก็น่าจะมีขนมตามมานะ”