การได้เห็นหมาเล่นกันได้ดีเป็นหนึ่งในสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก นั่นทำให้หลายคนมองหาโอกาสให้หมาตัวเองได้เล่นกับหมาอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้วหมาโตที่ชอบเล่นกับหมานั้นหาได้ยาก และไม่ใช่หมาทั่วไปจะชอบเล่นกับหมาด้วยกัน นั่นทำให้เจ้าของหลายคนอาจต้องผิดหวัง หรือเห็นว่าเป็นปัญหาใหญ่ แต่จริง ๆ การไม่อยากยุ่งกับหมาอื่นก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติหมา
ทำไมหมาเราไม่ชอบเล่นกับหมาเหมือนของคนอื่น ?
ภาพจำของหมาคนอื่นสำหรับคนส่วนใหญ่มักจะเป็นหมาที่เจอตามคาเฟ่ หรือเจอที่สวนบ่อย ๆ โดยเป็นภาพของหมาที่ชอบสังคม ชอบหมาด้วยกัน ขี้เล่น แม้จะเห็นได้บ่อยแต่ในความเป็นจริงหมาเหล่านั้นคือหมาส่วนน้อย แต่เราไม่เห็นหมาส่วนใหญ่เพราะจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่เขาจะอยู่บ้านกัน
ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสุนัขเห็นตรงกันว่า หมาโตเต็มวัยที่เข้าสังคมเก่งและเป็นมิตรกับสุนัขแปลกหน้าทุกตัวนั้น ถือเป็นส่วนน้อยและไม่ใช่มาตรฐาน พฤติกรรมการอยากเล่นกับสุนัขทุกตัวเป็นลักษณะเด่นของ “ลูกสุนัข” แต่เมื่อสุนัขโตขึ้นและเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมักเกิดขึ้นช่วงอายุ 1-3 ปี
เหมือนกับมนุษย์ที่เมื่อโตขึ้นก็มักจะเลือกใช้เวลากับเพื่อนสนิทในวงเล็กๆ มากกว่าไปปาร์ตี้กับคนแปลกหน้าตลอดเวลา ดังนั้น การที่สุนัขโตของเราไม่สนใจสุนัขตัวอื่นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็น สัญญาณของวุฒิภาวะทางสังคม ที่เป็นไปตามธรรมชาติ ที่หมาเขาส่วนใหญ่จะพัฒนานิสัยในการเริ่ม “เลือกเข้าสังคม” (Dog Selective) มากขึ้น
โดยหลัก ๆ แล้วสำหรับหมาโตจะมีสไตล์ทางสังคมประมาณ 4 รูปแบบ และการเข้าใจธรรมชาติของหมาเราว่ามีสไตล์แบบไหนจะช่วยให้เราใช้ชีวิตดี ๆ กับเขาได้ง่ายขึ้นครับ
4 สไตล์ทางสังคมของหมา (Dog Socialability)
1. หมาสายสังคมจัด (Dog Social)
สุนัขกลุ่มนี้มีแรงขับเคลื่อนภายในสูงในการแสวงหาปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับสุนัขตัวอื่น พวกเขามักแสดง ภาษากายที่เปิดเผยและเชื้อเชิญ อย่างชัดเจน เช่น ร่างกายที่ผ่อนคลายและหลวม (Loose, Wiggly Body), การย่อตัวเล่น (Play Bow), และการแกว่งหางเป็นวงกว้าง พวกเขามองว่าสุนัขแปลกหน้าคือเพื่อนเล่นที่มีศักยภาพ และมักจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นการทักทาย อย่างไรก็ตาม สุนัขกลุ่มนี้อาจขาดทักษะในการอ่านสัญญาณ “ปฏิเสธ” จากสุนัขตัวอื่น ส่งผลให้อีกฝ่ายไม่ชอบหมาไปเลยจากการมีประสบการณ์ที่ไม่ดี หรือหากมีการทะเลาะกันหมาสายสังคมก็อาจไม่ชอบหมาไปเลยก็ได้เช่นกัน
กลุ่มนี้สามารถถดถอยไปสู่กลุ่ม Selective หรือ Reactive ได้เมื่อเกิดประสบการณ์ไม่ดีขึ้น
คำแนะนำ (เป้าหมาย: การปกป้องและรักษา – Preservation & Protection):
- ให้เล่นแต่พอดี: หมากลุ่มนี้หลายตัวอาจชอบเล่นจนอ่านสัญญาณปฏิเสธจากหมาอื่นไม่ออก และอาจทำให้หมาสนุกได้ง่าย เจ้าของควรระวังเป็นพิเศษ และเรียนรู้ที่จะอ่านภาษากายของการเล่นที่ดีโดยเฉพาะของคู่เล่น และเข้าไปหยุดหรือแยกเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สนุก
- ฝึกเรียกกลับให้แข็งแรง: เพื่อให้เราสามารถดึงสุนัขออกจากสถานการณ์ที่หมาอีกฝ่ายเริ่มส่งสัญญาณความเครียดโดยที่หมาของเราไม่รู้ตัว
- ระวังการสร้างประสบการณ์ไม่ดีให้กับหมาอื่น: แม้เราจะรู้ว่าหมาเราชอบเล่น และไม่มีเจตนาไม่ดี แต่สำหรับหมาตัวอื่นการโดนพุ่งใส่หรือโดนเล้าหลือเยอะ ๆ ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี โดยเฉพาะกับหมาที่ไวกับหมาตัวอื่นอาจทำให้เขาเครียดหนักได้เลย
2. หมาที่ทนต่อสังคมได้ (Dog Tolerant)
เหมือนคนที่ชอบการสังสรรค์แต่ไม่ได้ต้องไปให้ได้ตลอด สุนัขกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์มากนัก แต่โอเคกับการมีอยู่ของสุนัขตัวอื่น และสามารถอดทนต่อมารยาทแย่ ๆ ได้ระดับหนึ่ง เป้าหมายหลักของเขาคือ การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง พวกเขามักจะส่ง สัญญาณของการจัดการความเครียด เช่น การหันหน้าหนี(Head Turn) การเลียจมูก การดมพื้น เพื่อสื่อสารว่า “ฉันไม่อยากมีปัญหา” พวกเขามักจะไม่เริ่มต้นการปฏิสัมพันธ์ และจะพยายามเดินหนีหากรู้สึกว่าถูกคุกคาม กลุ่มนี้มักชอบเล่นกับหมาที่เจอบ่อย ๆ หมาที่เลี้ยงด้วยกัน หรือถ้าจะมีเพื่อนใหม่เพื่อนต้องเป็นหมามารยาทดี
หมากลุ่มนี้หากเจอประสบการณ์ลบ เช่นการถูกสุนัขแปลกหน้าที่ขาดมารยาทพุ่งเข้าใส่ซ้ำๆ จะทำลายความอดทนของเขา ก็อาจถูกผลักไปสู่กลุ่ม เลือกเข้าสังคม หรือ ไวกับหมาอื่น ได้ ในทางตรงกันข้าม หากได้รับประสบการณ์ดี ๆ บ่อย ๆ อาจเปิดใจมากขึ้นเล็กน้อย
คำแนะนำ (เป้าหมาย: การสนับสนุนและเสริมแรง – Advocacy & Reinforcement):
- ปกป้องประสบการณ์เขาให้ดี: ถ้าเจอเจ้าของจูงหมาเดินตรงดิ่งเข้ามา อย่าคิดมากเรื่องมารยาทแล้วรีบบอกให้เขาหยุด หรือถ้าเขาไม่ยอมหยุดก็บอกไปเลยว่าระวังหมาเรากัด (ถึงจะไม่กัดก็ตาม)
- เลือกเพื่อนให้เขา: ให้เขาเล่นกับหมาที่สนิทแล้ว และถ้าจะเลือกเพื่อนใหม่ให้ดูสัญญาณมารยาทของหมาอื่น และคัดกรองหมาที่มีมารยาทที่เข้าหาช้า ๆ ส่งสัญญาณชวนเล่น และกลับไปหาเจ้าของได้เมื่อเรียก
3. หมาที่เลือกสังคม (Dog Selective)
นี่คือกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดในหมาโต พฤติกรรมของพวกเขาขึ้นอยู่กับการประเมินสุนัขอีกฝ่ายเป็นรายตัว พวกเขามีการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างหมาที่คุ้นเคยและไว้ใจ กับสุนัขแปลกหน้า เมื่อเจอสุนัขที่ไม่รู้จัก ภาษากายในช่วงแรกจะแสดงถึง การประเมินสถานการณ์ เช่น ร่างกายที่เกร็งขึ้น (Stiff Body), หูตั้งไปข้างหน้า, และการยกหางสูง การตอบสนองของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยของอีกฝ่าย ทั้งขนาด ระดับพลังงาน และลักษณะการเข้าหา
สุนัขกลุ่มนี้บางตัวจะไวกับหมาตัวอื่นเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในสายจูง (leash-reactive) และอาจแสดงพฤติกรรมเช่น เห่าหรือพุ่งเข้าใส่สุนัขตัวอื่น หมากลุ่มนี้สามารถอยู่ร่วมกับสุนัขตัวอื่นหรือมีเพื่อนสุนัขได้ แต่อาจต้องการการดูแลเป็นพิเศษจากเจ้าของเวลาที่เจอหมาตัวอื่น
หมากลุ่มนี้สามารถกดเพิ่มเพื่อนได้หากได้รับการจัดการที่ดี หรืออาจกลายเป็นกลุ่ม Reactive ได้หากถูกบังคับให้เจอหมาอื่น ๆ เยอะ ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่หลายบ้านมักเข้าใจผิดและใช้เมื่อพบว่าหมาตัวเองไม่ค่อยเล่นกับหมา
คำแนะนำ (เป้าหมาย: การจัดการและจัดสรร – Management & Facilitation):
- จัดการสิ่งแวดล้อม: เลือกเวลาและสถานที่เดินเล่นที่สงบเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่ไม่พึงประสงค์
- อย่าฝืนให้เขาต้องเจอหมา: ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการไม่มีเพื่อนใหม่ไม่ใช่เรื่องผิดและหมาเราสามารถมีความสุขและชีวิตที่ดีได้แม้ไม่มีเพื่อนหมาเลยก็ตาม แต่หากต้องการให้เขามีเพื่อนใหม่จริง ๆ การ “เดินขนาน” (Parallel Walking) ที่เป็นการเดินข้างกัน แต่ห่าง ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน และสังเกตภาษากายอย่างใกล้ชิดเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
4. หมาที่ไวกับหมาอื่น (Dog Reactive)
สุนัขกลุ่มนี้แสดงพฤติกรรมตอบสนองที่รุนแรงและฉับพลันเมื่อเจอตัวกระตุ้น (Trigger) ซึ่งในที่นี้คือสุนัขตัวอื่น และแสดงพฤติกรรม เช่น การเห่า การพุ่งเข้าใส่ ที่ไม่ได้มาจากความก้าวร้าว แต่มีรากฐานมาจาก สภาวะอารมณ์ที่รุนแรง เช่น ความกลัวหรือความหงุดหงิด โดยมักมีเป้าหมายเพื่อ เพิ่มระยะห่าง จากหมาตัวอื่น
โดยทั่วไปแล้ว สุนัขที่ไวกับหมาอื่นจะไม่สบายใจเมื่อถูกหมาตัวอื่นเข้าหาหรือทักทาย แม้ว่าเขาจะเข้ามาอย่างเป็นมิตรเพื่อเล่นด้วยก็ตาม สุนัขประเภทนี้ต้องการการจัดการที่นุ่มนวลและการดูแลอย่างใกล้ชิดทุกครั้งที่จะต้องอยู่ใกล้สุนัขตัวอื่น
หมาที่ไวกับหมาอื่นสามารถเรียนรู้ที่จะสามารถเพิกเฉยต่อสุนัขตัวอื่นได้อย่างสิ้นเชิง แต่ถึงขั้นนั้นแล้วหลายตัวก็อาจจะยังคงรู้สึกไม่สบายใจและอาจแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหากสุนัขเหล่านั้นเข้ามาใกล้เกินไป
หมาเหล่านี้มีความสุขที่สุดเมื่อไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับสุนัขตัวอื่น แต่ด้วยการฝึกฝนและการดูแลที่ดี ก็สามารถอยู่ร่วมกับหมาตัวอื่นได้
จริง ๆ แล้วหมากลุ่มนี้มีศักยภาพที่จะย้ายเข้ากลุ่ม “เลือกเข้าสังคม” หรือ “ทนต่อสังคมได้” ถ้าได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
ปัจจัยที่มีอิทธิพล:
- (-) การปล่อยให้พฤติกรรมเกิดขึ้นซ้ำๆ: ทุกครั้งที่สุนัขแสดงปฏิกิริยาตอบสนองและสำเร็จ (คือสุนัขอีกตัวเดินจากไป) สมองของเขาจะเรียนรู้ว่าพฤติกรรมนั้นได้ผล และจะทำอีกในครั้งต่อไป
- (+) การฝึกลดความไวต่อการตอบสนอง: การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดความไวต่อสิ่งกระตุ้น (Desensitization) และสร้างเงื่อนไขทางอารมณ์ใหม่ (Counter-conditioning)
คำแนะนำ (เป้าหมาย: การฟื้นฟูและการจัดการ – Rehabilitation & Management):
- จัดการสถานการณ์: ใช้การจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันไม่ให้พฤติกรรมเกิดขึ้นเลยโดยการหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นให้ได้เท่าที่ทำได้
- ห้ามลงโทษ: การลงโทษจะยิ่งเพิ่มความกลัวและความเครียด ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา
- ทำความเข้าใจความสุขของหมา: สิ่งที่เจ้าของควรรู้คือหมาเรามีความสุขดีแล้วเวลาอยู่บ้านและไม่เจอหมาอื่น และก็ยังสามารถสนุกกับเรานอกบ้านได้ถ้าเราเลี่ยงสถานที่ที่หมาชุกชุม เราไม่จำเป็นต้องรอให้เขาเจอหมาอื่นได้ก่อนถึงจะมีความสุขได้
สไตล์ทางสังคมของหมาเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
หมาไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่งไปตลอดชีวิต ความเป็นสังคมสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ, ประสบการณ์, สุขภาพ, และสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์เลวร้ายเพียงครั้งเดียวสามารถเปลี่ยนหมาที่ชอบหมามาก ๆ ให้กลายเป็นหมาที่กลัวหมาอื่นไปเลยก็ได้ ในทางกลับกัน การจัดการและการฝึกที่ถูกต้องอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็สามารถช่วยให้หมาที่ไม่ชอบหมารู้สึกผ่อนคลายและทนต่อสังคมได้ดีขึ้น
และที่สำคัญคือไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบหมาด้วยกันในรูปแบบไหน เขาก็สามารถสนุกและมีความสุขไปกับเราได้แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอให้เขามีเพื่อนหมา เพราะไม่ว่ายังไงเพื่อนที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือเราเสมอ