จากหมาที่เคยสงบอยู่ ๆ ก็เริ่มกลายเป็นหมาที่เห่าไม่หยุด หรือขี้กลัวอย่างไม่มีเหตุผล พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปแบบดูเหมือนไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่ใช่นิสัยเสียแต่อาจเป็นสัญญาณของความเครียดเรื้อรังที่เพิ่งจะแสดงออก
ความเครียดในหมาไม่ได้เป็นแค่เรื่องชั่วคราว แต่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของสมองหมาได้ด้วยในระยะยาว เป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ กัดกร่อนความเป็นตัวเองของหมาไปทีละนิด แต่ข่าวดีคือความเปลี่ยนแปลงทางสมองจากความเครียดไม่จำเป็นต้องคงอยู่ตลอดไป วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันครับว่าความเครียดเปลี่ยนสมองหมาได้ยังไง และสำคัญที่สุดคือเราจะช่วยเขาได้อย่างไร
ภัยเงียบที่มองไม่เห็น: จากความรำคาญเล็กน้อยสู่สมองที่เปลี่ยนไป
ความเครียดไม่ได้เกิดได้จากเหตุการณ์ใหญ่ ๆ อย่างการถูกทำร้าย หรือบาดเจ็บเท่านั้น แต่สำหรับหมาในบ้าน ความเครียดส่วนใหญ่ของเขาเกิดขึ้นในรูปแบบที่มองเห็นยากกว่ามาก ในรูปแบบของเครียดขนาดเล็กที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในชีวิตประจำวัน (Micro-stressor)
ลองนึกดูครับว่าในหนึ่งวันของหมามักเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง:
- เสียงที่มองไม่เห็น: สุนัขได้ยินเสียงได้ดีกว่าเรามาก เสียงเครื่องดูดฝุ่นที่ดังสนั่น เสียงบี๊บของไมโครเวฟ หรือแม้แต่เสียงกริ่งประตูที่อยู่ ๆ ก็ดัง เสียงรถผ่านหน้าบ้าน ทั้งหมดนี้หมาอาจจะดูไม่สนใจ แต่ลึก ๆ แล้วมันรกสมองในฐานะความเครียดเล็ก ๆ ได้ระดับหนึ่งเลย
- ความตึงเครียดในสังคม: ในบ้านที่มีสุนัขหลายตัว การแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรอย่างของเล่น ที่นอน หรือแม้แต่ความสนใจจากเจ้าของ ต่อให้ไม่มีการทะเลาะกัน แต่ความกังวลก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือหมาแก่ที่จะนอนต้องมาทนรำคาญหมาเด็กที่พลังงานเหลือ ก็เป็นอีกหนึ่งความเครียดสะสมที่ส่งผลกับเขาได้มาก ๆ
- ความเจ็บปวดที่ซ่อนเร้น: ความไม่สบายตัวเรื้อรัง เช่น อาการปวดข้อจากโรคไขข้อต่าง ๆ อาการคันจากภูมิแพ้ ปัญหาในช่องปาก เป็นเหมือนเสียงกระซิบของความเจ็บปวดที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ไม่เคยเงียบ
เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้แม้จะเล็กน้อย แต่มีส่วนในการลดทอนความสามารถในการรับมือกับความเครียดอื่นๆ และขัดขวางการเรียนรู้ของเขาด้วย โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นติดต่อกันโดยไม่มีเวลาได้พักฟื้น หรือนอนน้อย จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Trigger Stacking ลองนึกภาพถังน้ำใบหนึ่งที่ความเครียดแต่ละอย่างเป็นเหมือนน้ำที่หยดลงไปทีละนิด เสียงกริ่งประตูอาจเติมน้ำไปหนึ่งหยด เสียงเครื่องดูดฝุ่นอีก 10 หยด รถผ่านหน้าบ้านอีก 1 ถ้วย และเมื่อตกเย็นพาไปเดินเล่นแล้วเจอหมาตัวอื่นเห่าใส่ ถังน้ำก็ล้นแล้ว
การล้นของถังนี้เองคือปฏิกิริยาที่รุนแรงและดูเหมือนไม่มีที่มาที่ไป ไม่ว่าจะเป็นการเห่า การพุ่งเข้าใส่ หรือการแว้งกัด ซึ่งไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรม หรือนิสัยไม่ดี แต่เป็นเพราะระบบประสาทของพวกเขารับไม่ไหวแล้วจริงๆ
หมาในภาวะฉุกเฉิน: เมื่อสัญญาณเตือนภัยไม่เคยดับ
เมื่อหมาเจอกับความเครียด ร่างกายจะเข้าสู่โหมดที่ คอร์ติซอล (Cortisol) หรือที่ฮอร์โมนความเครียดทำงาน
ในระยะสั้น คอร์ติซอลมีประโยชน์มหาศาล มันช่วยระดมพลังงาน, เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด, และเตรียมกล้ามเนื้อกับสมองให้พร้อมรับมือกับภัยคุกคาม แต่เมื่อความเครียดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและบ่อย ๆ ระบบจะเริ่มค้างอยู่ในภาวะเครียด สมองที่ควรจะสั่งให้หยุดผลิตคอร์ติซอลเริ่มกลายเป็นการเปิดค้าง ทำให้ร่างกายของหมาที่เครียดบ่อย ๆ กลายเป็นมีฮอร์โมนความเครียดอยู่ตลอดเวลา
สภาวะเครียดเรื้อรังส่งผลต่อสมอง และร่างกายหมามาก ๆ :
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: หมาป่วยง่าย ติดเชื้อบ่อยฟื้นตัวช้า
- ปัญหาระบบย่อยอาหาร: อาจเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน ท้องไส้ปั่นป่วนง่าย
- ปัญหาสุขภาพระยะยาว: เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และทำให้อายุขัยสั้นลง
เมื่อหมาเริ่มเครียดเรื้อรัง หมาจะเครียดได้ง่ายขึ้น และความเรื้อรังยิ่งถูกพัฒนา ให้เครียดง่ายขึ้น นอกจากนั้นร่างกายที่เจ็บป่วยง่ายก็กลายเป็นอีกหนึ่ง micro-stressor ที่ซ้ำเติมสมองและความเครียดเรื้อรังหนักกว่าเดิม
การเปลี่ยนแปลงของสมองที่เครียดเรื้อรัง
การ fMRI จากสมองของสุนัขที่มีความเครียดเรื้อรังพบว่าสมองส่วนอะมิกดาลา (Amygdala) หรือศูนย์กลางความกลัวของพวกเขาทำงานหนัก ทำให้ไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น เกณฑ์ในการกระตุ้นความกลัวจะลดต่ำลง กลัวง่ายขึ้น ตื่นตระหนกง่าย และมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นภัยคุกคาม
นอกจากนั้นแล้วฮิปโปแคมปัส หรือสมองส่วนที่ที่สำคัญในการเรียนรู้บริบทและความทรงจำเป็นส่วนที่ไวต่อความเครียดเป็นพิเศษ ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ทำให้เซลล์สมองส่วนนี้ฝ่อและหดตัวลงผลที่ตามมาคือ:
- สูญเสียความทรงจำตามบริบท: หมาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสถานการณ์ไหนปลอดภัย สถานการณ์ไหนอันตราย ความกลัวที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่แห่งหนึ่ง (เช่น คลินิกสัตวแพทย์) จะถูกเหมารวมไปทุกที่ ได้ง่ายขึ้น ทำให้สุนัขกลัวคนแปลกหน้าทุกคน หรือกลัวเสียงดังทุกชนิด
- ไม่สามารถ “ลืม” ความกลัวได้: ฮิปโปแคมปัสมีบทบาทในการเรียนรู้ว่าสิ่งที่เคยน่ากลัวนั้นปลอดภัยแล้ว (Fear Extinction) เมื่อสมองส่วนนี้เสื่อมลง หมาจะติดอยู่กับความทรงจำที่น่ากลัวเดิมๆ ทำให้การปรับพฤติกรรมเป็นไปได้ยากขึ้น
สมองส่วนคิดวิเคราะห์และใช้เหตุผล (Prefrontal Cortex) มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอารมณ์และยับยั้งการตอบสนองที่หุนหันพลันแล่นจากอะมิกดาลา ความเครียดเรื้อรังทำให้สมองส่วนนี้เสียหายและทำงานได้น้อยลง ผลลัพธ์คือสุนัขที่ขาดการควบคุมตนเอง หุนหันพลันแล่น และไม่สามารถยับยั้งปฏิกิริยาของตัวเองได้
สิ่งที่น่ากลัวคือความเปลี่ยนแปลงทางสมองทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ที่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและประเมินสิ่งรอบตัวของหมาไปเลย ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งเสริมให้หมาเครียดง่ายขึ้นและผ่อนคลายยากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ข่าวดีก็คือความเปลี่ยนแปลงนี้สามารถฟื้นฟูได้ครับ
พลังแห่งการฟื้นฟูของสมอง
คำว่าความเสียหายของสมองฟังยังไงก็ดูน่ากลัว แต่ธรรมชาติของสมองหมานั้นมีความยืดหยุ่นสูงสมองมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและจัดระเบียบตัวเองใหม่ตลอดช่วงชีวิต เปรียบเทียบง่ายๆ คือ เส้นทางประสาทในสมองก็เหมือนกับถนน ยิ่งใช้บ่อยเท่าไหร่ ถนนเส้นนั้นก็จะยิ่งกลายเป็นทางด่วนที่แข็งแรงและใช้งานง่าย
พฤติกรรมเครียด ๆ หรือขี้กลัวที่เกิดจากความเครียดเมื่อทำงานบ่อย ๆ สมองก็จะสร้าง”ทางด่วน” ไปสู่ความเครียดที่ทำให้ความเครียดนั้นสะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่ด้วยความยืดหยุ่นนี้เราก็สามารถสร้างทางด่วนเส้นใหม่ที่นำไปสู่ความสงบและความมั่นใจแทนได้ ด้วยการฝึกสนุกๆ กับหมา และปล่อยให้ทางด่วนเส้นเก่ารกร้างและสลายไปตามกาลเวลา การฟื้นฟูไม่ใช่การลบความทรงจำเก่า แต่คือการสร้างเส้นทางใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่
ฝึกให้หมาได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง
การสร้างทางด่วนใหม่บนสมองของสุนัขต้องอาศัยกลยุทธ์ที่รอบคอบและความเข้าใจ โดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนหลักที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการจัดการสภาพแวดล้อมก่อน และจึงสร้างการเรียนรู้ใหม่ โดยรายละเอียดผมได้เคยเขียนไว้แล้ว สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ