ในด้านของพัฒนาการช่วงวัย 2 ถึง 4 เดือนคือช่วงสมองหมาเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ มากที่สุด อะไรที่เขาเคยเจอในช่วงนี้แล้วมีประสบการณ์ที่ดีจะชอบไปตลอด อะไรที่เจอช่วงนี้แล้วประสบการณ์ไม่ดีจะกลัวไปนาน และโอกาสในการพัฒนาเขาในด้านนี้จะปิดอย่างถาวรตอนประมาณเดือนที่ 4 ของชีวิตลูกหมา

นั่นทำให้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือนเพื่อพาเขาไปเจอประสบการณ์ดี ๆ กับโลกของมนุษย์ หรือคือการ “การเปิดโลก” ให้เขา โดยเริ่มจากอย่างน้อยที่สุดเขาควรที่จะเคยชินกับของใช้ในบ้าน เช่น เครื่องดูดฝุ่น พัดลม เครื่องตัดหญ้า และเสียงดังต่าง ๆ ในบ้าน รวมไปถึงเสียงฝน เสียงฟ้าผ่า การอาบน้ำ ตัดเล็บ เข้าคลินิก และแน่นอนคือเขาต้องคุ้นชินกับมนุษย์ และหมาตัวอื่น ๆ

แต่ปัญหาสำคัญที่เจ้าของทุกคนต้องเจอคือเรื่องของวัคซีนครับ หลังอายุ 2 เดือนเรามีเวลาไม่มากในการพาเขาไปเจอสิ่งใหม่ ๆ ให้เคยชิน แต่ปัญหาคือวัคซีนที่สำคัญ ๆ ของเขาจะครบตอนอายุ 3 เดือน (และครบจริง ๆ ตอน 1 ขวบ) นั่นทำให้เราต้องแบ่งช่วงของการเปิดโลกของเขาออกเป็น 2 ช่วง คือ เปิดโลกในบ้าน(ก่อน 3 เดือน) และ เปิดโลกภายนอก (ก่อน 4 เดือน) วันนี้เราจะมาพูดถึงการเปิดโลกในบ้านกันก่อน

เปิดโลกในบ้าน

ย้ำอีกทีว่าจุดประสงค์ของการเปิดโลกให้เขาในทุกรูปแบบคือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกหมาในการเจอสิ่งต่าง ๆ ประสบการณ์ที่ดีหมายถึงมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเขา และมีเรื่องไม่ดีที่ทำให้เขาไม่สบายใจเกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยสำหรับในบ้านก็มีหัวข้อการเปิดโลกใหญ่ ๆ ประมาณนี้ครับ

กับข้าวของในบ้าน (Household items)

ในส่วนของข้าวของในบ้าน และเสียงต่าง ๆ นั้นทำได้ง่าย หลักการคือเวลาที่มีเสียงเหล่านี้เกิดขึ้น หรือเขาไปเจอกับข้าวของใด ๆ ให้เราให้ขนมเขา แค่นั้นแหละครับ หมาจะไม่สามารถกลัวไปพร้อมกับกินได้ ดังนั้นเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเขาได้กินเขาจะเริ่มเชื่อมโยงสิ่งนั้นเข้ากับเรื่องดี ๆ ไปโดยอัตโนมัติ

การให้อาหารทุกครั้งที่เขาเจออะไรใหม่ ๆ ทำให้หมาเราโตมาเป็นเป็นหมาที่มองโลกในแง่ดี (Optimist) คือถ้าการเจอสิ่งใหม่ ๆ ของเขาส่วนใหญ่มีเรื่องดี ๆ (อาหาร) เกิดขึ้น เขาจะเรียนรู้ว่าการเจอสิ่งใหม่ ๆ มักเป็นเรื่องดี ทำให้เขาไม่กลัว และกล้าที่จะสำรวจอะไร ๆ มากกว่า และเรียนรู้ได้ดีกว่าในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย

กับมนุษย์ (Human)

และอย่างที่บอกไปแล้วว่า 2 เดือนนี่สำคัญกับพัฒนาการหมามาก ๆ เป็นเพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงเดียวที่สมองของเขาจะเปิดรับกับมนุษย์ และหมาด้วยกัน ก่อนที่โอกาสนี้จะปิดลงอย่างถาวร นั่นหมายถึงลูกหมาที่ไม่ได้รับการเปิดโลกอย่างเพียงพอในสองเดือนนี้จะโตแบบเครียดง่าย ก้าวร้าว และขี้กลัวโดยเฉพาะกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย และมีปัญหาพฤติกรรมที่ตามมาได้อีกเยอะมาก และแก้ไขทีหลังได้ยากมาก ๆ

โดยเฉพาะการเปิดโลกกับมนุษย์ด้วยกันที่สำคัญมากเป็นพิเศษเพราะสามารถพัฒนาเป็นหมาดุกับคนได้ง่าย ๆ และหมาที่ต้องใช้ชีวิตในโลกมนุษย์นั้นยากมากที่เขาจะเลี่ยงการเจอคนได้ แปลว่าหมากลุ่มนี้จะต้องอยู่อย่างเครียด ๆ ไปตลอดชีวิต เพราะเรื่องแบบนี้แค่เพื่อให้เครียดน้อยลงได้ ก็แก้กันนาน และยากมาก ๆและโอกาสที่จะกลับมาเป็นหมาร่าเริงปกติที่เข้ากับคนง่ายนั้นแทบจะไม่มีเลย ดังนั้นเรื่องนี้ป้องกันง่ายกว่าแก้เป็นร้อยเท่าเลย

ถึงเราจะรู้สึกคุ้นเคยกับเขาขนาดไหน หรือเขาจะยอมเล่นด้วยกับเราแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าสนิทกันจริง ๆ เพราะแม้แต่กับหมาความสัมพันธ์ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกันอีกสักพัก ดังนั้นช่วงวันแรก ๆ เราควรเริ่มต้นโดยการให้อาหารจากมือ และผมไม่ได้หมายถึงว่าให้ก่อนกินข้าวนะครับ ในที่นี้เราหมายถึงว่าเก็บชามอาหารไปก่อนเลย เพราะอาหารเขาทุกเม็ดเขาจะทานจากมือเรา

มนุษย์คนแรกผ่านไปแล้ว ต่อมาคือมนุษย์ในบ้านที่เหลือซึ่งเขาควรจะเริ่มเจอในวันที่ 3 เป็นต้นไป ในฐานะเจ้าของหลักเราควรที่จะกำชับกับคนอื่น ๆ ในบ้านถึงการเข้าหาหมาช้า ๆ และอย่าทำให้เขาตกใจ โดยทุกคนควรที่จะได้ให้อาหารเขาจากมือตัวเองด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่เขาคุ้นเคยมนุษย์ในบ้านแล้วต่อไปคือมนุษย์คนอื่น ๆ ในช่วงนี้แม้จะออกไปไหนยากสิ่งที่เราทำได้คือการชวนเพื่อนมาเล่นกับหมาที่บ้าน และให้เขาได้เจอและให้อาหารหมาเรากัน แต่ระวังถ้ามากันเยอะให้คอยสังเกตอาการหมาเราดี ๆ ถ้าเขาดูเครียด หรือไม่โอเคเมื่อไหร่ให้แยกเขาออกมาจากความชุกชุมทันที เพราะอย่าลืมว่าจุดประสงค์คือสร้างประสบการณ์การเจอมนุษย์ที่ดีให้เขา

กับคู่กรณี (สัตวแพทย์)

ไหน ๆ ก็อยู่ในพูดถึงมนุษย์แล้วก็มีมนุษย์อีกกลุ่มที่ต้องแยกหัวข้อออกมาก็คือเหล่าขาประจำคู่กรณีของหมา ๆ หลายตัว ซึ่งก็คือสัตวแพทย์ และร้านอาบน้ำตัดขน การที่หมาหลายตัวกลัวการไปหาสัตวแพทย์เป็นตัวอย่างที่ดีของปัญหาการไม่ได้เปิดโลกให้ดีตั้งแต่เด็กครับ เพราะจริง ๆ หมาสามารถที่จะไปหาสัตวแพทย์ได้อย่างเต็มใจได้

เพราะไม่ว่ายังไงเราต้องพาเขาไปหาสัตวแพทย์เพื่อไปถ่ายพยาธิ ไปฉีดวัคซีนอยู่แล้วในช่วงอายุนี้ และหลังจากนี้อีกหลายครั้ง ดังนั้นชีวิตของเรากับเขาจะง่ายขึ้นมากถ้าเราใช้โอกาสนี้ในการเปิดโลกให้เขาชอบการไปคลินิกขึ้นมาได้

เทคนิคก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรครับ สิ่งที่ต้องทำเพียงแค่เราต้องพกขนม หรืออาหารที่เขาชอบไปด้วยเสมอ ซึ่งต้องเป็นขนมอันที่เขาชอบมาก ๆ นะครับ ซึ่งเราควรให้เขาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ออกจากบ้านเลย ตัวอย่างเช่น ระหว่างเดินจากบ้านไปขึ้นรถให้ป้อนตลอดทาง ระหว่างอยู่บนรถก็ค่อย ๆ ป้อนตลอดทาง ลงรถป้อนเรื่อย ๆ ป้อนระหว่างนั่งรอคิว ป้อนระหว่างชั่งน้ำหนัก ป้อนระหว่างที่หมอตรวจ ป้อนเยอะ ๆ ระหว่างที่หมอทำอะไรก็ตามกับเขา และถ้าให้ดีส่งอาหารให้คุณหมอช่วยป้อนเขาด้วย

ปัญหาที่เราจะเจอได้ระหว่างทำคือน้องไม่รับอาหาร นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าน้องกำลังเครียดเกินไป หรือทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปสำหรับเขา นี่เป็นเหตุผลที่แนะนำให้ใช้ขนมที่เขาชอบที่สุด เพราะจะมีประสิทธิภาพในเวลาแบบนี้มากกว่า และอีกสิ่งที่เราทำได้คือหยุดทำทุกอย่างก่อนสักแปปนึงนะครับ และให้ลองป้อนใหม่อีกครั้ง เขาน่าจะรับการป้อนแล้ว ถ้าเป็นสถานที่ที่สามารถเดินได้ให้พาเขาเดินสำรวจสถานที่พร้อม ๆ กับลองป้อนเขาดูไปด้วย ถ้าได้สำรวจแล้วเขาจะรับอาหารได้ง่ายขึ้น

กับการดูแล (Grooming)

อีกอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการดูแลความสะอาดให้เขา เช่น อาบน้ำ หวีขน ตัดเล็บ หรือตัดขน สำหรับวิธีการโดยละเอียดเราจะมาคุยกันอีกทีนะครับ เดี๋ยววันนี้มันจะยาวไป แต่หลัก ๆ คือใช้หลักการเดียวกันกับการเปิดโลกแบบอื่น ๆ เลย คือใช้ขนมเสมอระหว่างที่เราทำอะไรพวกนี้ครับ ป้อนระหว่างอาบน้ำ ป้อนระหว่างตัดเล็บ ป้อนระหว่างหวีขน สุดท้ายก็ไม่ใช่หมาทุกตัวจะชอบการอาบน้ำขึ้นมาได้ด้วยวิธีนี้ แต่ขั้นต่ำคือจะยอมให้เราทำแน่ ๆ ครับถ้าทำส่วนนี้ได้ดี และที่สำคัญคือไม่ว่าจะทำเอง หรือส่งร้าน การเปิดโลกในการดูแลทำความสะอาดไว้ก่อนจะช่วยให้เวลาส่งร้านพนักงานเขาจะปวดหัวกับหมาเราน้อยลงด้วย และหมาจะเครียดน้อยลงเวลาเราส่งร้านด้วยครับ

การเจอหมา และมนุษย์นอกบ้านก่อน 3 เดือน

ก่อนหน้าที่ผมบอกว่าวัคซีนเขายังไม่ครบใช่ไหมครับ และไม่แนะนำว่าควรออกนอกบ้าน แต่ถ้ามีความจำเป็นจะต้องพาไปเปิดโลกนอกบ้านจริง ๆ เช่นเราอยู่คนเดียว หรือไม่มีใครให้เขาเจอได้ง่าย ๆ เราต้องรู้ก่อนว่าต้องระวังอะไรบ้าง

อย่างแรกเลยคือสำหรับวัคซีนที่ไม่ครบแล้วตัวที่อันตรายจริง ๆ คือ Canine parvovirus (CPV) หรือโรคลำไส้อักเสบ ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากจะอันตรายแล้วเชื้อนี้ยังทนต่อสภาพอากาศด้วย โดยเชื้อเหล่านี้จะออกมาจากอุจจาระของสัตว์ที่ติดเชื้อ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ตามพื้นทั้งดิน และคอนกรีตได้เป็นหลักปีน และเข้าสู่หมาเราได้เวลาเขาสัมผัสพื้นที่ที่มีเชื้อ เช่นเวลาเขาเหยียบพื้นเชื้อจะติดเท้าเขามา และเข้าปากเขาตอนที่เขาทำความสะอาดตัวเอง เพราะติดง่ายและรุนแรงขนาดนี้การเตรียมตัวเราต้องดีนะครับถ้าจะพาเขาออกนอกบ้านจริง ๆ ไม่ว่าพาหมาไปห้าง พาหมาไปร้านกาแฟ หรือพาหมาไปสวนสาธารณะนี่คือสิ่งที่ต้องทำ:

  • ห้ามให้มีส่วนไหนเขาได้แตะพื้นเด็ดขาด ดังนั้นเขาต้องอยู่บนรถเข็น ตะกร้า หรืออุ้มเท่านั้น
  • หลีกเลี่ยงที่ที่มีหมาจร เพราะหมามีเจ้าของส่วนใหญ่จะฉีดวัคซีนแล้ว แต่พาหะส่วนใหญ่มักเป็นหมาจร
  • ขับถ่ายในบ้านให้เสร็จก่อนออกข้างนอก เพราะโอกาสที่จะได้สัมผัสเชื้อที่สุดจะเป็นตอนที่เขาต้องขับถ่ายนอกบ้าน ดังนั้นถ้าขับถ่ายในบ้านให้เสร็จก่อนจะป้องกันการสัมผัสได้เยอะมาก
  • ล้างมือตัวเองบ่อย ๆ ระหว่างที่ออก และก่อนที่จะสัมผัสหมาของเราด้วยแอลกอฮอร์
  • งดสัมผัสมนุษย์คนอื่นนอกสถานที่ เพราะมือมนุษย์เองสามารถมีพาหะมาได้เหมือนกัน ยกเว้นว่าเราขอให้เขาล้างแอลกอฮอร์ก่อนได้ หรือเราจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับหมาได้โดยไม่ต้องสัมผัสด้วยการให้ขนมกับเขาเวลาที่เขาเห็นมนุษย์คนอื่น
  • แน่นอนว่าหมาตัวอื่นก็ให้วิธีเดียวกัน คืองดสัมผัส และใช้การเจอหมาพร้อมให้ขนม เขาจะมีเปิดโลกกับหมาตัวอื่นเต็ม ๆ หลังจากได้วัคซีนลำไส้อีกเสบครบแล้ว

เหนื่อยใช่ไหมครับเดือน 2 ไป 3 นี้ เพราะด้วยเงื่อนไขการพัฒนาทางสมอง และภูมิคุ้มกันค่อนข้างขัดแย้งกันทำให้วัยนี้เงื่อนไขจะยุ่งยากเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่จะช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว คือเป็นหมาอารมณ์ดี สอนง่าย และไม่ดุไม่ว่ากับหมาหรือกับคน หลังจากผ่านช่วงอายุ 3 เดือนที่เขาจะได้วัคซีนลำไส้อักเสบไปแล้ว เราจะพาเขาไปเปิดโลกได้มากขึ้นและสะดวกขึ้นครับ เดือนที่ 3 ไป 4 จะเป็นเดือนที่ชีวิตเราเริ่มดีขึ้น และสนุกกับเขาได้มากขึ้น ครั้งหน้ามาดูกันครับว่าเดือนหน้าเรามีอะไรต้องทำบ้าง

หรือใครที่กำลังมองหาวิธีการเลี้ยงลูกหมา 2 เดือนให้ขับถ่ายเป็นที่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ